Featured Post Today
print this page
Latest Post

บาร์เทนเดอร์ คือ


Bartender มือใหม่

หลังจากที่ทำ Blog ขนม, Blog ชงกาแฟ มาแล้ว คราวนี้เลยขอเปิดตู้คลังแสงประจำบ้าน ลองมาทำเกี่ยวกับ Blog Cocktail ดูบ้างแล้วกันครับ


ก่อนอื่น เบื้องต้นขอเริ่มจากเกร็ดความรู้ทั่วไปที่เกี่ยวกับการผสม ค็อคเทลก่อนนะครับ จะได้ไม่มาลงสัยภายหลังว่าอะไรคืออะไร


ชนิดของเหล้าที่ควรรู้

วิสกี้ (Whisky)
- อันนี้เหล้าพื้นฐานครับ ทำมาจากข้าวนำมาหมักแล้วเอาไปกลั่นแล้วค่อยนำมาบ่มอีกที มีตั้งแต่ขวดละร้อยกว่าบาท ไปจนถึงหลักหมื่น ทั่วไปผมชอบใช้ Red Label 1ลิตร หรือ 100 Pipers ในการทำครับเพราะหาง่ายและราคาไม่แพงจนเกินไป..
*ยังขาด Gold Label อีกขวด ยินดีรับบริจาคจ้า..

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



บรั่นดี และ บรั่นดีผลไม้ (Brandy & Fruit Brandy)
- บรั่นดีนั้นจะทำมาจาก ไวน์(องุ่น) ที่เอาไปกลั่นจนเป็นบรั่นดี จากนั้นนำไปบ่มต่ออีกทีครับ สนนราคามีตั้งแต่หลักร้อย เช่น รีเจนซี่ ไปจนถึงหลักหมื่นเช่นพวก คอนยัค(Cognac) ส่วนบรั่นดีผลไม้นั้นก็คือบรั่รดีที่ทำมาจากผลไม้อื่นๆที่ไม่ใช่องุ่นครับ..

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ว็อดก้า (Vodka)
- โดยทั่วไปของ ว็อดก้า จะเป็นเหล้าที่ใสไม่มีสี และมีกลิ่นเล็กน้อยเท่านั้น หาได้ไม่ยาก ราคามีตั้งแต่ขวดละ 200 กว่าบาทไปจนถึง ราวๆ 1,500 ครับ
*ผมว่าขวดละ 5 – 700 ก็ OK แล้วนะ..

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ตากีล่า (Tequila)
- ตากีล่า เป็นเหล้าที่มีกลิ่นค่อนข้างแรง นิยมกันมากใน เม็กซิโก ส่วนมาก ตากีล่าจะใสไม่มีสี แต่ตากีล่าบางชนิดจะนำไปบ่มในถังไม้จะได้เป็นตากีล่าที่มีสีเหลืองซึ่งราคาจะสูงกว่าเล็กน้อย ส่วยราคาทั่วไปของตากีล่า จะอยู่ที่ 350 – 1,000 ครับ
*แนะนำให้ใช้ของดีหน่อยเพราะเหล้าตัวนี้เน้นที่กลิ่นครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จิน (Gin)
จิน เป็นเหล้าใสไม่มีสี(ที่เห็นสีฟ้านั่นสีของขวดนะครับ) ทำมาจาก ข้าว และ สมุนไพร และกลิ่นของผล Juniper ราคาทั่วไปในบ้านเราเริ่มตั้งแต่ราวๆ 300 – 900 ครับ (ส่วน Gin อันนี้ผมว่าใช้แบบราคา 3 – 400 ก็ OK แล้วครับ)

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

รัม (Rum)
- รัม เป็นเหล้าที่ผลิตจาก อ้อย หรือ กากน้ำตาล แบ่งได้เป็น รัมขาว(White Rum), รัมทอง(Gold Rum) และ รัมดำ(Dark Rum) ครับโดยที่สีและกลิ่นจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ราคาทั่วไปจะเริ่มที่ราว 300 - 700 ครับ
*แสงโสม ของไทยเนี่ย จัดเป็น รัมทองนะครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แอพเพอริทิฟ (Aperitif)
- แอพเพอริทิฟ จัดอยู่ในประเภทเหล้ายา สมัยก่อนปกติมักนิยมดื่มก่อนหาหาร ทำจาก เหล้า เหล้าองุ่น เครื่องเทศ และสมุนไพรต่างๆ แบ่งได้หลักๆเป็น 3 ประเภทคือ เวอร์มุท(Vermouth), บิตเตอร์(Bitter), อนิส(Anis) ราคามีตั้งแต่ 300 - 1000 ครับ
*ในรูป 2 ขวดนั้นคือ ดรายเวอร์มุท(Dry Vermouth) และ สวีท เวอร์มุท(Sweet Vermouth) ครับ ตัวอื่นๆใช่ไม่บ่อยเลยยังไม่ได้ซื้อ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เหล้าหวาน (Liqueur)
- เหล้าหวานจะเป็นการนำเอาตัวเหล้ามาปรุงแต่งใหม่ โดยเพิ่มตวามหวาน สี กลิ่น รส ลงไป โดยที่ สิ่งปรุงแต่งนี้จะนำมาจาก สมุนไพร หรือ เครื่องเทศ ต่างๆ มีหลายชนิดมาก ราคาทั่วไปมีตั้งแต่ 250 – 600 ครับ
*แนะนำว่าเหล้าหวานที่ชื่อ บลู คูราโซ่ (Blue Curacao) ควรมีไว้ครับ เพราะใช้บ่อยมาก

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ส่วนผสมอื่นๆ
นอกจากตัวเหล้าแล้ว การทำ ค็อคเทล หลายๆตัว ยังต้องใช้ส่วนผสมอื่นๆด้วยนะครับ..


ส่วนผสมหลักที่ควรมีติดบ้าน
- โซดา
- น้ำส้ม,น้ำสับปะรด,น้ำมะนาว
- น้ำเชื่อม(สามารถทำเองได้ดดยผสม น้ำ : น้ำตาลทราย ในปริมาตร 2.5 : 6 ตั้งไฟให้เดือดราว 2 - 3 นาทีครับ)
- น้ำเชื่อมกลิ่นทับทิม
- น้ำหวานเข้มข้นกลิ่นต่างๆ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


อุปกรณ์ที่จำเป็น

ที่ตวง ที่คน Shaker


- ที่ตวงนี่ เอาแค่มีปริมาตรตวงได้ก็พอครับ ถ้าเอาแบบมืออาชีพนี่ ราคาจะ ต่างกันราว 10 – 20 เท่าเลยทีเดียว
- ส่วนตัว Shaker นี่มีติดบ้านไว้ก็ดี แต่ก็ไม่ถึงขนาดจำเป็นมากครับ แต่ถ้าคิดจะซื้อ อยากแนะนำเป็นแบบสเตนเลส ที่มีปริมาตร มากกว่า 500cc. ครับ


แก้วใส่ Cocktail


- อันนี้แล้วแต่ความชอบใจเลยครับ ถ้ากินเองอยู่กันบ้านใส่อะไรก็ดื่มได้ แต่ถ้าเผื่อไว้รับแขกอยากดูดีหน่อยก็มีแก้วแบบของทำในไทย มีขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าครับ ราคาอยู่ที่ราวๆใบละ 50 – 120 แต่ถ้าลองไปเดินซื้อที่ สวนจตุจักร จะถูกลงไปอีกพอสมควร ส่วนถ้าเป็นแก้วที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื้อแก้วเขาจะ บางเบากว่า แต่ราคาจะต่างกันถึง 5 – 10 เท่าเลยทีเดียวครับ..



อันนี้ของไทยๆครับ ใบละไม่เกิน 100

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

อุปกรณ์/วิธีในการผสม Cocktail

เท่าที่ได้ลองๆทำมา พอจะแบ่งวิธีการผสมได้ 4 วิธี ตามนี้ครับ
การริน
- วิธีนี้ใช้แค่แก้วอย่างเดียวเพราะจะรินส่วนผสมตามลงไปตามชั้นตอนครับ
การคน
- วิธีนี้จะเป็นการคนระหว่างส่วนผสม กันน้ำแข็ง แล้วเทเอาแต่ส่วนน้ำครับ ส่วนอุปกรณืที่ใช้นี่ก็จะเป็น แก้ว, ที่คน, ที่กรองน้ำแข็ง(ไม่จำเป็นครับ)
การเขย่า (Shake)
- ใช้ในกรณีที่บางส่วนผสมอาจจะเข้ากันยาก แค่การคนอาจทำได้ไม่ดีพอครับ (สำหรับสูตรที่ไม่ยุ่งยาก ถ้าไม่มี Shaker ก็สามารถผสมแบบคนได้ครับ)
การปั่น
- ทำเพื่อต้องการให้ส่วนผสมเย็นจัดโดนการใช้เครื่องปั่นไปพร้อมน้ำแข็ง และสามารถรวมส่วนผสมที่เข้ากันยากเช่นชิ้นผลไม้ให้เข้ากันได้ครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เทคนิดการเคลือบปากแก้วด้วยเกลือ

หลายคงอาจสงสัยว่าทำยังไงซึ่งที่จริงแล้วไม่ยากเลย
ของที่ใช้ก็จะมี แก้ว,จานรอง,มะนาว,เกลือ



มีขั้นตอนดังนี้ครับ


- เทเกลือลงในจานรอง แล้วเอามะนาวหั่น(ที่บีบน้ำแล้ว)มาถูให้รอบขอบแก้วให้รอบ



- เอาแก้วไปคว่ำลงในจานเกลือ กลิ้งๆ หมุนๆ ให้เกลือเกาะทั่วครับ



- เสร็จแล้วจ้า

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ถึงตอนนี้ก็พอรู้เรื่องเบื้องต้นเกี่ยวกับ Cocktail ไปแล้ว ต่อไปกะจะเป็นขั้นลงมือทำกันเสียที..



0 ความคิดเห็น

เที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง


น้ำตกโตนงาช้าง
 
เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงมาก แห่งหนึ่งของภาคใต้และของจังหวัดสงขลา น้ำตกโตนงาช้างมี 7 ชั้นชั้นที่มีชื่อเสียงมี่สุดคือโตนงาช้างซึ่งเป็นชั้นที่ 3 ของน้ำตกซึ่งสายน้ำตกแยกออกเป็นสองสายคล้ายงาช้างน้ำตกโตนงาช้างนี้อยู่ใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างมีการจัดสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ บริการนักท่องเที่ยวมีทางเดินศึกษาธรรมชาติและเที่ยวชมน้ำตกชั้นต่างๆหากจะ ชมน้ำตกให้ครบทุกชั้นต้องเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร


สำหรับน้ำตกทั้ง 7 ชั้น จะมีชื่อเรียกแตกต่างกัน ได้แก่

ชั้นที่ 1.โตนบ้า เมื่อเดินเท้าไปเพียงแค่เล็กน้อยจากจุดจอดรถ ก็จะพบกับสายน้ำและโขดหิน เล็กๆ สำหรับชั้นนี้ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นเพียงแค่สายน้ำไหล และไม่มีแอ่งน้ำ

ชั้นที่ 2.โตนปลิว ชั้นนี้เดินเท้าจากชั้นแรกประมาณ 200 เมตร ลักษณะของชั้นนี้เป็นแอ่งน้ำ เหมาะแก่การเล่นน้ำ ลักษณะโดยทั่วไป น้ำจะไหลจากหน้าผาสูงชันพอประมาณ สูงประมาณ 20 เมตร โดยที่น้ำจะไหลเป็น 2 สายมาบรรจบกันที่แอ่ง ผู้คนโดยส่วนใหญ่มักจะเล่นน้ำกันชั้นนี้ การเดินทางมาชั้นนี้ค่อนข้างสะดวก

ชั้นที่ 3.โตนงาช้าง หากเดินทางมาเที่ยวน้ำตกโตนงาช้างต้องไม่พลาดชั้นนี้ ซึ่งจะได้สัมผัส กับจุดที่เรียกว่า โตนงาช้าง ในชั้นนี้ใช้เวลาในการเดินทางจากชั้นที่ 2 ประมาณ 15 นาที เนื่องจาก ทางขึ้นค่อนข้างชัน

เมื่อถึงชั้นนี้จะพบน้ำไหลลาดชัน สูงประมาณ 20 เมตร โดยจะมีน้ำไหล 2 สายมาบรรจบกันที่แอ่ง เล็กๆ ซึ่งจะมีโขดหินขนาดใหญ่ขวางอยู่ และเมื่อนั่งบนโขดหินชั้นนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่าง เนื่องจากบนชั้นนี้จะมีความสูงใกล้กับเทือกเขา ในชั้นนี้จะมีแอ่งน้ำซึ่งสามารถที่จะเล่นน้ำได้

ชั้นที่ 4.โตนดำ อยู่ที่ระดับความสูง 700 เมตร

ชั้นที่ 5.โตนน้ำปล่อย อยู่ที่ระดับความสูง 1,050 เมตร

ชั้นที่ 6.โตนฤาษีคอยบ่อ อยู่ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร

ชั้นที่ 7.โตนเหม็ดชุน อยู่ที่ระดับความสูง 1,550 เมตร



ประวัติ
 
โตนงาช้างเป็นชื่อน้ำตกที่ ถูกจัดว่าสวยที่สุดของภาคใต้ อยู่ในท้องที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา คำว่าโตน เป็นภาษาท้องถิ่น มีความหมายว่า น้ำตก แต่ด้วยความผันผวนทางการเมืองในภาคใต้ ป่าโตนงาช้างถูกกำหนดเป็นพื้นที่สีแดงที่ถูกปิดเป็นเวลาประมาณ 15 ปี จนถึงปี พ.ศ. 2519 กรมป่าไม้โดยกองอนุรักษ์สัตว์ป่าได้ส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจ และพิจารณาเห็นว่าป่าโตนงาช้างเป็นป่าผืนใหญ่ผืนหนึ่งติดกับประเทศมาเลเซีย เป็นป่าที่สมบูรณ์มีสัตว์ป่าชุกชุมและคาดว่าอาจมีแรดอาศัยอยู่ในพื้นที่ด้วย เป็นป่าต้นน้ำลำธารที่มีลำธารหลายสายไหลลงสู่ที่ราบลุ่มทะเลสาบสงขลาหล่อ เลี้ยงพื้นที่กสิกรรมหลายแสนไร่ กองอนุรักษ์สัตว์ป่า(ในเวลานั้น) กรมป่าไม้ เล็งเห็นว่าควรจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อควบคุมและป้องกัน รักษาทรัพยากรธรรมชาติด้านสัตว์ป่าและป่าไม้ แหล่งน้ำ แหล่งอาหาร ตลอดจนสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีความสำคัญต่อสัตว์ป่าให้คงอยู่อย่างถาวร จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกาประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างเมื่อวัน ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 สำนักงานเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าโตนงาช้างตั้งอยู่ที่บริเวณน้ำตกโตนงาช้าง ท้องที่ ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ห่างจากอำเภอหาดใหญ่ 26 กิโลเมตร เริ่มจากหาดใหญ่ไปตามถนนเพชรเกษม หาดใหญ่ - รัตภูมิ ถึงกิโลเมตรที่ 13 บ้านหูแร่ มีเส้นทางเข้าน้ำตกโตนงาช้างเป็นระยะทางอีก 13 กิโลเมตร อาณาเขตของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างครอบคลุมท้องที่ตำบลทุ่งตำเสา ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ ตำบลท่าชะมวง ตำบลเขาพระ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลาและตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล มีพื้นที่ทั้งสิ้น 182 ตารางกิโลเมตร หรือ 113,721ไร่
0 ความคิดเห็น

การทอดกฐิน วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ นายเลข สุวรรณมณี พร้อมด้วย ครอบครัวร่วมกับ ประชาชนชาวบ้าน ตำบลโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ถวายผ้ากฐิน
วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา  ประจำปี 2555 


 Clip วีดีโอ การทอดกฐิน วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ปี 2555







 การทอดกฐิน วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา  ประจำปี 2555

เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕



การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของชาวพุทธ

ประวัติการรับผ้ากฐิน และอานิงสงส์กฐิน

     การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ด ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง

        การทอดกฐินเป็นประเพณีอันดีงาม ของชาวพุทธที่ศาสนิกชนปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 2,500 ปี กำเนิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐออกเดินทางไกล เพื่อไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน พระภิกษุเหล่านั้นมีจีวรที่เปรอะเปื้อนเปียกชุ่ม และเปื่อยขาดด้วยความเก่า พระบรมศาสดาจึงทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษารับผ้ากฐินได้หลังออก พรรษา เพื่อนำมาผลัดเปลี่ยนผ้าเก่า ประเพณีทอดกฐินได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้นและสืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน


การทอดกฐินเป็นบุญที่มีอานิสงส์มหาศาล


        บุญจากการทอดกฐินเป็นบุญพิเศษ ที่ทำได้ยากกว่าบุญอื่น ด้วยสาเหตุหลายประการ ดังนี้ คือ



การทำบุญทอดกฐิน เป็นบุญที่ถูกจำกัดด้วยไทยธรรม กล่าวคือ ของที่ถวาย

ต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในจำนวนไตรจีวรเท่านั้น


1.) จำกัดด้วยเวลา คือต้องถวายภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันออกพรรษา
2.)จำกัดชนิดทาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอื่นไม่ได้
3.)จำกัดคราว คือ แต่ละวัดรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
4.)จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุรับกฐินได้จะต้องจำพรรษาที่วัดนั้นครบไตรมาส (3 เดือน) และจะต้องมีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป
5.)จำกัดงาน คือ เมื่อพระภิกษุรับผ้ากฐินแล้ว จะต้องกรานกฐินให้เสร็จภายในวันนั้น

6.)จำกัดของถวาย คือ ไทยธรรมที่ถวายต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวรเท่านั้น โดยทั่วไปนิยมใช้สังฆาฏิ ไทยธรรมอื่นจัดเป็นบริวารกฐิน เกิดจากพุทธประสงค์ พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับผ้ากฐินเพื่อพลัด เปลี่ยนไตรจีวรเก่า แต่ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้อนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาต ถวายผ้าอาบน้ำฝน




ผ้ากฐิน โดยความหมายก็คือผ้าสำเร็จรูปโดยอาศัยไม้สะดึง นิยมเรียกกันจนปัจจุบันนี้

การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำ 5 รูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น

เขตกำหนดทอดกฐิน
การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ไม่จัดเป็นการทอดกฐิน

แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น เช่น จะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้วพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับไว้ก่อนได้

        นอกจากนี้การทอดกฐินยังเป็นทานที่พิเศษ คือ ทั้งพระภิกษุและญาติโยมผู้ทอดกฐินได้อานิสงส์ด้วยกัน การทอดกฐินจึงเป็นบุญใหญ่ ที่ผู้ให้ (คฤหัสถ์) และผู้รับ (พระภิกษุสงฆ์) ต่างก็ได้บุญ
ทั้ง 2 ฝ่าย

อานิสงส์กฐิน - ความหมายของคำว่า ทอดกฐิน

อานิสงส์กฐิน - ความหมายของคำว่า ทอดกฐิน
 

    กฐินทาน คือ การถวายผ้าให้แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ได้ดำรงตนอยู่ในกรอบแห่งศีล สมาธิ(Meditation) และปัญญา ผ่านการอยู่จำพรรษาตลอดฤดูฝน ณ อารามใดอารามหนึ่ง นับว่าเป็นกาลทานอันยิ่งใหญ่ ย่อมก่อให้เกิดอานิสงส์มากมายแก่ผู้ทอดถวาย


     คำว่า กฐิน แปลว่า สะดึง หมายถึง ไม้ที่ใช้สำหรับขึงผ้าให้ตึง มีทั้งรูปสี่เหลี่ยม และรูปวงกลม เมื่อขึงผ้าด้วยสะดึงแล้วจะทำให้เย็บผ้าได้ง่ายขึ้น แต่ในอีกความหมายหนึ่งนั้น หมายเอาผ้าจีวรที่ถวายแด่พระสงฆ์ที่อยู่ประจำอารามจนครบพรรษา คำว่า ทอดกฐิน จึงหมายถึง การน้อมนำผ้าจีวรมาวางทอดลง เพื่อถวายแด่ภิกษุสงฆ์ มิได้เจาะจงแก่ภิกษุรูปใด เทศกาลทอดกฐินจะเรียกอีกแบบ คือ ฤดูกาลเปลี่ยนผ้าใหม่ของพระภิกษุ โดยในอดีตกาล ยุคต้นที่พระพุทธศาสนาเริ่ม บังเกิดขึ้น ผ้าที่ภิกษุได้มานั้นเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหรือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพในป่าช้า หรือผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามกองหยากเยื่อ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะผ้าในยุคนั้นเป็นของมีค่าหาได้ยาก การที่ภิกษุแสวงหาผ้าที่ไม่มีผู้หวงแหน นำมาใช้นุ่งห่ม จึงแสดงถึงความสันโดษมักน้อยของนักบวชผู้มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้น

     อีกประการหนึ่ง จะได้ไม่เป็นที่หมายปองของพวกโจร จะได้ไม่ถูกขโมยหรือถูกโจรปล้นชิงไป เพราะผู้คนในสมัยนั้น รังเกียจผ้าผุปะหรือผ้าเก่าๆ ถือว่าเป็นผ้าเสนียด จึงไม่มีใครอยากได้ แต่มาภายหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับผ้าที่คหบดีนำมา ถวายได้ เนื่องจากหมอชีวกได้กราบทูลเพื่อที่จะถวายผ้าแด่พระภิกษุ เพราะเห็นว่าพระภิกษุทั้งหลายมีความลำบากในการแสวงหาผ้าเป็นอย่างยิ่ง

รูปแบบของจีวร

     รูปแบบของจีวรนั้น เกิดขึ้นจากพระดำริของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวคือ ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงชี้ให้พระอานนท์แลดูคันนาของชาวมคธ และให้ออกแบบตัดเย็บโดยใช้แผ่นผ้าหลายชิ้นนำมาเย็บต่อๆ กันเป็นขันธ์ คล้ายคันนา เพื่อให้เป็นผ้ามีตำหนิไม่มีใครอยากได้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้จีวรมีห้าขันธ์ขึ้นไป สำหรับจีวรในปัจจุบันมี 5 ขันธ์นับเฉพาะแนวตั้ง เรียกว่า มณฑล ส่วนขันธ์ย่อยเรียกว่า อัฑฒมณฑล


      จีวรที่พระภิกษุใช้สอยกันในสมัยก่อนนั้น จะต้องวัดแต่ละชิ้นให้ได้สัดส่วน แล้วทำการตัดเย็บและย้อมเองซึ่งเป็นเรื่องยากและลำบากอย่างยิ่งสำหรับพระ ภิกษุ โดยวัสดุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้นำมาย้อมผ้าจีวรได้ คือ

1.รากไม้
2.ต้นไม้
3.ใบไม้
4.ดอกไม้
5.เปลือกไม้
6.ผลไม้

สีของจีวรที่นิยมนำมาทำเป็นผ้ากฐิน

     สีที่นิยมใช้ คือ สีเหลืองเจือแดง สีเหลืองหม่น หรือสีกรัก
     ส่วนสีที่ห้ามใช้ได้แก่ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด สีชมพู และสีดำ



     เมื่อเย็บและย้อมเสร็จแล้วก็ต้องอธิษฐานให้เป็นผ้าครองต่อไป แต่ก่อนจะนำมานุ่งห่มก็จะต้องพิจารณาผ้าเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ได้ โดยเมื่อสำเร็จเป็นจีวรแล้ว พระภิกษุจะใช้สอยและเก็บรักษาเป็นอย่างดี เพราะถือว่าผ้าจีวรนั้นเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เมื่อพระภิกษุได้ผ้าจีวรผืนใหม่แล้ว ผ้าผืนเก่าก็จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น นำมาทำเป็นผ้าดาดเพดาน เมื่อผ้าดาดเพดานเก่าก็จะนำมาทำเป็นผ้าปูที่นอนหรือผ้าปูฟูก ผ้าปูที่นอนผืนนั้นเมื่อเก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าปูพื้น ผ้าปูพื้นที่เก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าเช็ดเท้า ผ้าเช็ดเท้าที่เก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าเช็ดธุลี ผ้าเช็ดธุลีที่เก่าแล้วก็จะนำมาโขลกให้แหลกแล้วขยำกับโคลน เพื่อฉาบทาฝากุฏิ
     ดังนั้น ผ้ากฐินที่ได้ถวายพระภิกษุสงฆ์ไปแล้ว ย่อมเกิดประโยชน์สูงสุด จึงก่อให้เกิดอานิสงส์แก่ผู้ทอดถวายมากมาย

ประวัติการรับผ้ากฐิน และอานิสงส์กฐิน (โดยย่อ)

        สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ จำนวน 30 รูป เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน แต่เมื่อถึงเมืองสาเกตุยังไม่ทันถึงกรุงสาวัตถีก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน จึงต้องเข้าจำพรรษาในระหว่างทาง ในระหว่างนั้น ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐมีใจระลึกถึงพระพุทธองค์ว่า “เราแม้อยู่ห่างจากสาวัตถีเพียงหกโยชน์ แต่พวกเรากลับไม่ได้เข้าเฝ้าพระองค์”

        ครั้นล่วงสามเดือนแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้ทำการปวารณาซึ่งกันและกันในวันมหาปวารณา ในตอนนั้นแม้ออกพรรษาแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่ พื้นดินชุ่มไปด้วยน้ำและโคลน ภิกษุเหล่านั้นรีบเร่งเดินทางเพื่อไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้สบงจีวรที่ท่านนุ่งห่มเปียกปอนเปรอะเปื้อนและเปื่อยขาด กว่าจะเดินทางมาถึงวัดพระเชตวันก็ได้รับความลำบากเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวัดพระเชตวันแล้ว ยังมิทันได้พักเลย ภิกษุเหล่านั้นก็รีบเข้าไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งจีวรที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน


การทำบุญทอดกฐินและการถวายผ้ากฐิน สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริขึ้นด้วยพระองค์เอง
        พระพุทธองค์ทรงตรัสถามภิกษุเหล่านั้นในเรื่องความเป็นอยู่และสุขภาพร่างกาย ว่า “จำพรรษากันผาสุกดีอยู่หรือ ทะเลาะวิวาทกันบ้างหรือไม่ อาหารบิณฑบาตพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ”

        ภิกษุทั้งหลายได้ทูลตอบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “จำพรรษาด้วยความผาสุก พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ยังมีความพร้อมเพรียงกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกันและไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต”

        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นจีวรของภิกษุทั้งหลายเก่าและขาด จึงทรงมีพุทธานุญาตให้รับผ้ากฐินได้ แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว โดยให้ภิกษุที่ได้รับผ้ากฐินแล้วได้อานิสงส์ 5 ประการ คือ


อานิสงส์กฐินสำหรับพระ

1.เที่ยวไปสู่ที่สงัด เพื่อแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมได้ตามสะดวก โดยไม่ต้องบอกลา
2.เที่ยวไปได้ โดยไม่ต้องนำผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ
3.ฉันคณะโภชนะได้ คือ ฉันภัตตาหารร่วมโต๊ะหรือร่วมวงฉันด้วยกันได้
4.ทรงอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา คือ รับผ้าจีวรได้มากผืน
5.จีวรที่เกิดขึ้น ณ ที่นั้นจักได้แก่พวกเธอ คือ หากได้ผ้าจีวรมาเพิ่มอีก ก็สามารถเก็บไว้ใช้ได้ไม่ต้องเข้าส่วนกลาง  

ตำบลโรง


อ,กระแสสินธุ์

เกาะใหญ่
โรง
เชิงแส
กระแสสินธุ์
แบ่งเขตการปกครอง เป็น 5 หมู่บ้าน
ประกอบด้วยหมู่บ้าน หมู่1 บ้านโคกพระ , หมู่2 บ้านกาหรำ , หมู่3 บ้านโคกแห้ว , หมู่4 บ้านโรง , หมู่5 บ้านโรง

จำนวนประชากรใน ตำบลโรง

จำนวนหลังคาเรือน : 716 หลังคาเรือน


จำนวนประชากร : 2,979 คน
จำนวนผู้สูงอายุ : 663 คน

จำนวนเด็กแรกเกิด ถึง 6 ปี : 123 คน
จำนวนผู้สูงอายุ ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง : 42 คน

จำนวนสตรีตั้งครรภ์ : 28 คน
จำนวนผู้สูงอายุ ที่ช่วยตนเองไม่ได้ : 5 คน

จำนวนสตรีอายุ 35 ปี ขึ้นไป : 873 คน
จำนวนผู้พิการ : 125 คน

0 ความคิดเห็น

นายเลข สุวรรณมณี บริจาคเงินเข้ามูลนิธิพลเอกเปรมติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธ์ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

           เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕  นายเลข สุวรรณมณี  กรรมการ มูลนิธิพลเอกเปรมติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธ์  พร้อมครอบครัว ร่วมกับ แม่ชี ประจำวัดโรง  ได้มอบเงินบริจาค จำนวน 15,000 บาท ให้ กับมูลนิธิพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธุ์ โดยมี นายเปรม ทองเนื้อแข็ง สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา(สอบจ.) อำเภอกระแสสินธุ์ เขต 1 เป็นผู้รับมอบ
มูลนิธิพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธ์  จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียน ในเขต อำเภอกระแสสินธ์





0 ความคิดเห็น

วันหยุดพักผ่อนอยู่ห้อง




vacation
    คุณคงเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี เมื่อกลับจากวันหยุดพักผ่อนและทริปสนุกสนานมีความสุข ทำให้คุณรู้สึกราวกับว่าความสุขนี้คงตราตรึงอยู่กับคุณเป็นเวลาหลายวัน หรือแม้แต่หลายสัปดาห์ จากนั้น เมื่อคุณกลับถึงบ้านและกลับไปทำงาน คุณกลับรู้สึกเครียดและถูกบีบคั้นด้วยเวลาตั้งแต่วันแรกที่คุณกลับไป และรู้สึกราวกับว่าวันหยุดสุดแสนมหัศจรรย์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น!  ดังนั้นคำถามคือ ควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ความรู้สึกดีๆ จากช่วงเวลาวันหยุดยังคงอยู่เป็นเวลานาน แน่นอนว่าต้องมีหนทางแน่ๆ ลองมาดูผลการวิจัยและศึกษาจากประเทศเนเธอร์แลนด์กัน


    จากการศึกษาในวารสาร Applied Research in Quality of Life ซึ่งได้ทำการติดตามระดับความสุขของคนที่ไปเที่ยววันหยุดทั้งหมด 974 คน และอีก 556 คนที่ไม่ได้ไปเที่ยว ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ ผู้ที่มีวันหยุดพักผ่อนได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับของความสุขของพวกเขา ทั้ง ก่อน, ระหว่าง และ หลังกลับจากท่องเที่ยว
    vacation
    เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ไปเที่ยววันหยุด ระดับความสุขของผู้ที่ไปเที่ยวสูงกว่ามากในช่วงเวลาก่อนไปเที่ยว (แสดงให้เห็นว่าพวกเขาตั้งตาคอยและคาดหวังทริปในวันหยุดแสนวิเศษ) และยังคงมีความสุขมากในระหว่างการเที่ยวพักผ่อน แต่หลังกลับจากไปเที่ยวระดับความสุขกลับลดลงจนเท่ากับผู้ที่ไม่ได้ไปเที่ยว อย่างน่าใจหาย ด้วยข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ให้ข้อมูลว่าพวกเขามีวันหยุดที่ "ผ่อนคลายมากๆ" ยังคงมีความสุขมากๆ หลังกลับจากไปเที่ยวเป็นเวลาสองสัปดาห์โดยเฉลี่ย ยิ่งไปกว่านั้นระดับความสุขของพวกเขายังคงดีอยู่เป็นระยะเวลาถึง 8 สัปดาห์เต็ม
    vacation
    การค้นพบที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของวันหยุดไม่มีผลต่อระดับความสุข ซึ่งการศึกษาพบว่า "ตราบใดที่ทริปนั้นทำให้คุณมีโอกาสในการผ่อนคลายความเครียดและพักผ่อนมากพอ ก็จะไม่มีความแตกต่างของระดับความสุขระหว่างคนที่ไปเที่ยวหลายวัน กับคนที่ไปเที่ยวเพียงไม่กี่วัน"

    การศึกษาชี้ให้เห็นกลยุทธ์ที่ดีในการวางแผนวันหยุดของคุณ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณมีความสุขอยู่ได้เป็นระยะเวลายาวนานแม้กลับจากไปเที่ยว แล้ว อย่างแรก คุณควรวางแผนวันหยุดที่ผ่อนคลายมากๆ อย่างที่สองคือ คุณควรวางแผนสำหรับทริปสั้นๆ หลายๆ ครั้งในแต่ละปี ดีกว่าวางแผนสำหรับทริปที่ยาวหลายวันเพียงครั้งเดียว หากทำเช่นนี้แล้ว จะช่วยให้คุณมีความสุขได้มากกว่า
    vacation
    สำหรับประเด็นสำคัญที่ว่า อะไรคือวันหยุดที่ "ผ่อนคลายมากๆ" จิตแพทย์ Jeffrey Rossman บอกไว้ว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แตกต่างกันไป คนๆ หนึ่งอาจคิดว่าการได้นอนเอนกายบนชายหาดหลายๆ วันเป็นสิ่งที่ผ่อนคลายที่สุด ในขณะเดียวกัน อีกคนหนึ่งอาจรู้สึกว่านั่นทำให้เขาทรมานมากกว่า ระดับความผ่อนคลายเป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะรู้สึกอย่างไรต่อประสบการณ์ นั้นๆ

    จิตแพทย์ Rossman ยังคงแนะนำต่อไปว่า กลยุทธ์ต่อไปนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกมีความสุขได้ยาวนานขึ้นหลังกลับจากไปเที่ยว
    vacation
    1. พูดคุยเกี่ยวกับวันหยุดของคุณ เก็บรักษาช่วงเวลาดีๆ ที่ทำให้คุณมีความสุข ถ่ายรูประหว่างไปเที่ยว จากนั้นแชร์รูปถ่ายเหล่านั้นกับผู้อื่นและบอกเล่าถึงประสบการณ์ดีๆ ที่คุณได้รับจากการไปเที่ยวครั้งนั้น ถ้าเป็นไปได้ ให้พูดคุยถึงเรื่องทริปเหล่านั้นกับคนที่คุณไปเที่ยวด้วย
    vacation
    2. ขอบคุณคนที่ช่วยให้เวลาเหล่านั้นเป็นเวลาพิเศษ ถ้าใครที่โรงแรมหรือสถานที่ที่คุณไปเที่ยว ให้ความช่วยเหลือและเป็นมิตรกับคุณ คุณอาจส่งโน้ตเล็กๆ เพื่อขอบคุณเขา ถ้าคุณมีเพื่อนใหม่และสัญญากับพวกเขาว่าจะติดต่อ ก็ให้โทรหาหรืออีเมล์ (ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้คุณระลึกถึงช่วงเวลาอันมีความสุขได้อีก)
    vacation
    3. เก็บรักษาสิ่งดีๆ ไว้ ถ้าคุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ระหว่างช่วงวันหยุด ให้นำมาใช้ในชีวิตของคุณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าคุณไปเรียนเทนนิสมา เมื่อกลับถึงบ้านแล้วให้ใช้ทักษะที่คุณเรียนมาในคอร์ทเทนนิสใกล้บ้านให้เร็ว ที่สุด ให้ทำในลักษณะเดียวกัน ถ้าคุณไปเรียนศิลปะ,โยคะ หรือไปดูนก วันหยุดพักผ่อนที่คุณได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือสิ่งใหม่ๆ จะสร้างความสุขระยะยาวได้มากกว่า ตราบใดที่คุณพยายามนำมันมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย


“เคล็ดลับเลือกกางเกงใส่อยู่บ้าน” (Woman's Story)

          วัน หยุดพักผ่อน มีเวลาได้อยู่บ้านทั้งที แบบนี้ก็ต้องมาเลือกกางเกงสำหรับใส่อยู่บ้านกันหน่อยแล้วล่ะคะ แต่จะเลือกกางเกงแบบไหนให้ใส่สบาย ๆ ไปกับวันสบาย ๆ ไปติดตามกันค่ะ...

           กางเกงอยู่บ้านที่มีขอบยางยืด มีข้อดีคือ สะดวก จะใส่จะถอดง่าย ไม่ต้องมานั่งกลัดกระดุม ปิดกระดุม หรือผูกเชือก แต่ควรเลือกที่ขอบยางไม่รัดแน่นจนเกินไป เพราะจะอึดอัดไม่สบายตัวเวลาใส่

           กางเกงอยู่บ้านแบบผูกเชือกคือ สามารถปรับให้แน่นหรือหลวมได้ตามต้องการ และนอกจากจะปรับระดับความแน่นหรือหลวมได้แล้ว ยังสามารถปรับความสั้นยาวได้อีกด้วย นับว่าสะดวก สบายมากทีเดียว

ทีนี้ก็มาเลือกที่เนื้อผ้ากันบ้างว่าแบบไหนที่ใส่สบายและเหมาะสม...

         ผ้าฝ้าย เนื้อผ้ามีความนุ่ม ใส่แล้วไม่ร้อน ไม่อับ รับรองว่านุ่มสบายตลอดทั้งวัน

         ผ้าร่ม ข้อดีของผ้าร่ม คือสวย พลิ้ว แต่ระบายอากาศได้ไม่ดี ฉะนั้นคนชอบผ้าร่มต้องระวังเรื่องความอับชื้นและผดผื่นเป็นพิเศษ

         ผ้าแพร จะทำให้รู้สึกลื่นผิวเหมือนไม่ได้ใส่อะไร เหมาะกับใส่นอนกลางวันอย่างยิ่ง ทั้งสวย ทั้งใส่สบาย แถมใส่แล้วเย็นอีกต่างหาก

          ทั้งนี้หากกางเกงอยู่บ้านจะมีกระเป๋าข้างหรือกระเป๋าหลังสักอันก็ดี ไม่น้อย เอาไว้ใส่ของเวลาต้องการใช้ อีกทั้งเมื่อซื้อกางเกงสำหรับใส่อยู่บ้านมาแล้ว ควรซักให้นิ่มก่อนใส่ จะได้ไม่ระคายเคืองผิว ที่สำคัญคือกางเกงใส่อยู่บ้าน ก็ต้องใส่อยู่บ้าน อย่าใส่ออกนอกบ้านเป็นอันขาด เพราะดูไม่เรียบร้อย และไม่ส่งเสริมบุคลิกที่ดีซักเท่าไหร่...

          แฮ่ ม...ขึ้นชื่อว่ากางเกงใส่อยู่บ้านก็ต้องใส่เฉพาะอยู่ในบ้านเท่านั้นนะคะ ถ้าจะออกไปข้างนอกก็ควรเปลี่ยนกางเกงให้ดูเรียบร้อยและเหมาะสมจะดีกว่าค่ะ..


0 ความคิดเห็น

เที่ยวภูเก็ต



เกาะ ไข่ หลายท่านอาจไม่เคยได้ยิน ซึ่งคนภูเก็ตหลายคนก็ไม่มีใครรู้จักเกาะไข่ ถึงรู้จักก็ไม่ค่อยให้ความสนใจนักเป็นเพราะอยู่ใกล้ และถ้าพูดถึงเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วมักจะพูดถึงเกาะที่อยู่ไกลๆ เช่นเกาะพีพี เกาะสิมิลัน หรือเกาะราชา เป็นส่วนใหญ่

เกาะไข่เดิมเป็นทางผ่านหรือจุดจอดเรือหาปลา จึงรู้จักเฉพาะในหมู่ชาวประมงเท่านั้น แต่ในระยะหลังธุรกิจท่องเที่ยวหลายแห่งหันมาใช้เรือเร็วที่เรียกว่า "สปีดโบ๊ต" เรือเหล่านี้สามารถซอกแซกไปได้ทุกที่ ที่เรือใหญ่เข้าไม่ได้ ระยะหลังจึงมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่เรือเหล่านี้ไปถึง

เกาะไข่นี้เป็นของทางราชการ มี อบต.ของจังหวัดเป็นผู้ดูแล และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวค้างแรม ที่นี่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง จะมีเพียงห้องน้ำเล็กๆ ที่สร้างแบบพอเป็นพิธี

พื้นที่ของเกาะมีขนาดประมาณ 2-3 สนามฟุตบอล หรืออาจเล็กกว่า มีชายหาดให้เล่นน้ำได้เพียงซีกหนึ่ง อีกซีกหนึ่งเป็นแนวโขดหินที่มองเห็นน้ำทะเลใสสีฟ้าอ่อน

เกาะไข่อยู่ไม่ห่างจากเกาะภูเก็ตเท่าใดนัก ประมาณ 10 กิโลเมตร จึงสามารถมองเห็นเกาะภูเก็ตได้ชัดเจน จุดเด่นคือมีชายหาดที่ขาวสะอาด ต่างจากชายหาดที่มีชื่อของเกาะภูเก็ต เช่นหาด กะตะ กะรน

บนเกาะไข่ไม่มีต้นใม้ใหญ่ให้บังร่มเงา จะมีแต่ต้นไม้ต้นเตี้ยๆที่เห็นตามชายหาดทั่วไป แต่ก็สามารถใช้เป็นที่หลบแดดได้พอ
สมควร ที่ปีกขวาของเกาะมีมุมให้ดำน้ำดูปลาหลากสีหรือดูปะการัง แต่ถ้าใครชอบเล่นน้ำแล้วก็คงต้องบอกว่าที่นี่มีหาดทรายขาว
มีน้ำทะเลใส และทุกคนสามารถมาสัมผัสได้ ใครที่อยากเห็น หรืออยากสัมผัสเกาะสวรรค์เหมือนในเทพนิยาย เกาะไข่ก็อาจเป็นทางเลือกที่ไม้ต้องไปไกล

ใครไปเที่ยวภูเก็ตและมีเวลาน้อย หากต้องการเห็นหาดทรายขาว น้ำทะเลใส ขอแนะนำเกาะไข่ จะเที่ยวแบบครึ่งวัน หรือจะนอนอาบแดดเต็มวันแบบฝรั่งก็ได้ ติดต่อสอบถามได้จากบริษัททัวร์ในราคาที่ไม่ค่อยต่างกันมากนัก ราคาประมาณ 700-900 ต่อคน/ครึ่งวัน

ขอบคุณข้อมูลจาก : photoontour.com











ดินแดนแห่งความสุข

...เมื่อเดือนก่อนผมยังงง ๆ อยู่กับชีวิตอยู่เลย หลังจากที่ผมกับคุณ apple ได้พบกับ Resort & Spa ที่หนึ่งที่ใกล้ตัวผมมาก ได้ยินเพียงชื่อแต่ไม่ยักกะติดใจให้เข้าไปค้นหา
ช่วงสายของวันหนึ่ง เราได้รับคำเชิญจาก Mangosteen ให้ไปทำความรู้จักกับบรรยากาศที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ฉากแรกของการเยี่ยมเยียนผมก็รู้สึกถึงความพิเศษของที่นี่

การดูแลและเอาใจใส่ในรายละเอียดนับได้ว่าเยี่ยมมาก เจ้าหน้าที่ของที่นี่. แนะนำให้เราฟังว่าชื่อของที่นี่ค่อนข้างแปลก เพราะเจ้าของเป็นคนที่ชอบ
มังคุดมาก ดังนั้นอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ จึงเป็นรูปมังคุดเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งตัวอาคารที่นี่อยู่บนเนินเขาซึ่งสามารถมองเห็นได้สุดลูกหูลูกตา
เลยทีเดียว เป็นบรรยากาศของทะเลและภูเขา ซึ่งมาบรรจบกันที่ปลายตาอย่างลงตัว
ด้านหลังเป็นภูเขา ด้านหน้าเป็นทะเล ช่างเข้ากับฮวงจุ้ยของชาวจีนเป็นอย่างยิ่ง ผมกับคุณเปิ้ลได้สัมผัสกับสปาที่ชวนให้ตื่นเต้นจริง ๆ สำหรับสปาแล้ว ผมว่าหลายคนคงมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากได้ประกอบกับวิวทิวทัศน์ที่ลงตัว ผมว่าแค่ได้นอนเล่นเฉย ๆ ก็ไม่อยากจะลุกไปไหนแล้วละครับ
ทัวร์ภูเก็ต เที่ยวภูเก็ต
ทัวร์ภูเก็ต เที่ยวภูเก็ต
ทัวร์ภูเก็ต เที่ยวภูเก็ต
> จากสปามาสู่ห้องพัก เส้นทางเดินออกแบบที่ไม่ทำลายธรรมชาติ กลมกลืนกับ พื้นที่เดิม นับได้ว่าเป็นเสน่ห์ของที่นี่ครับ
> การได้เดินลัดเลาะชายคาบ้านเหมือนกับเรากำลังไปเยี่ยมเพื่อนบ้านที่บ้านติดกัน ยังไงยังงั้น เผลอ ๆ
> คุณอาจจะได้ทักทายเพื่อนบ้านที่นอนเล่นอยู่ในเปลสบายอารมณ์ที่หน้าบ้านก็เป็นได้
> ห้องพักที่นี่สามารถมองเห็นบรรยากาศหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาหรือทะเล
> คุณเชื่อมั้ยห้องน้ำและที่อาบน้ำของที่นี่วิเศษสุดจริง ๆ แค่คุณปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลลื่นไปกับบรรยากาศ ผมรับรองเวลาที่มีค่าก็แทบเป็นสุญญากาศสำหรับคุณ
ทัวร์ภูเก็ต เที่ยวภูเก็ต
  อ่างอาบน้ำที่อยู่ภายในห้องที่ลงตัว ลองคิดดูนะครับ คุณนั่งจิบไวน์และที่รักของคุณนอนเล่นน้ำอยู่ในอ่าง ท่ามกลางความเป็นส่วนตัวเหมือนอยู่อีกซีกโลกหนึ่งที่มีเพียงคุณและเธอ...." ที่นี่จะให้ความสำคัญกับเรื่องไวน์เป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดมีห้องเก็บไวน์ที่ ได้มาตรฐาน ไม่ว่าคอระดับไหนพบได้ที่นี่ครับ
บรรยากาศและการต้อนรับที่เป็นกันเอง ประกอบกับความลงตัวที่เป็นธรรมชาติที่ลดหลั่นกันบนเนินเขาเหล่านี้ ที่ที่เป็นดินแดนแห่งความสุขและ ความเป็นส่วนตัว The Mangosteen Resort & Spa ภูเก็ต
  • ใส่ใจทุกรายละเอียด
  • บรรยากาศเยี่ยม
  • เป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัว
  • โอบล้อมด้วยธรรมชาติ 

0 ความคิดเห็น

ฉากอาบน้ำดูจะเป็นเรื่องธรรมดาของละครย้อนยุค



20090210News01_Front.jpg
ฉากอาบน้ำดูจะเป็นเรื่องธรรมดาของละครย้อนยุคในปัจจุบันนี้ ปาร์คมินยอง (Park Min Young) เองก็ไม่เว้นเช่นกัน เธอแสดงฉากอาบน้ำในละคร Princess Ja Myung Go เมื่อไม่นานมานี้ สร้างความสนใจอย่างมาก
การถ่ายทำฉากอาบน้ำของปาร์คมินยองมีขึ้นประมาณกลางเดือนมกราคม ที่ SBS Ilsan Production Center โดยมีทีมงานไม่มากนัก พร้อมกับผู้กำกับ Lee Myung Woo, ช่างกล้อง Yoon Dae Young และช่างกำกับแสง
การปล่อยภาพฉากอาบน้ำนี้ออกมานั้น ทาง SBS หวังว่าจะสร้างความสนใจในละครเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เมื่อจะออกอากาศในช่วงเดือนมีนาคม จริงๆแล้ว Princess Ja Myung Go จะต้องออกอากาศหลังจากละคร Terroir ซึ่งจะจบลงในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ในช่วงเวลาวันจันทร์ - อังคาร แต่ทาง SBS ตัดสินใจที่จะเลื่อนการออกอากาศออกไป หลังจากมีการปรึกษากันแล้ว และละครที่จะมาแทนในช่วงนี้เวลานี้ คือละคร 2 เรื่องเมื่อปี 2000 และ 2004 ที่มีการแก้ไข เขียนโดย Kim Soo Hyun โดยจะเป็นละครทั้งหมด 4 ตอน ที่จะออกอากาศในช่วง 2 สัปดาห์
ดูเหมือนว่าทาง SBS จะทำได้ดีแล้วหล่ะ ที่พวกเขาเลื่อนเวลาออกอากาศ Princess Ja Myung Go ไป เนื่องจากการแข่งขันของละครชื่อดัง Boys Before Flowers ของทาง KBS และ East of Eden ของทาง MBC ที่กำลังมาแรงอย่างมาก
SBS ลงทุนเงินจำนวนมาในละครย้อนยุค 50 ตอนนี้ และเรทติ้งในตอนออกอากาศครั้งแรก มักจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของละคร ทำให้ละครเรื่องนี้เลื่อนกำหนดออกอากาศไปเป็นวันที่ 9 มีนาคมนี้แทน

0 ความคิดเห็น

รวมธรรมมะที่น่าสนใจ

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีเพียงไม่กี่หน้า แต่เป็นหนังสือที่มีสาระเน้นๆเท่านั้น อยากจะแนะนำ เราไม่จำเป็นต้องซื้อเล่มอื่นเลย เป็นหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ชื่อเรื่องว่า



วิธีสร้างบุญบารมี
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙




คนส่วนใหญ่รู้แค่ว่าการทำบุญคือการให้ทาน แต่แท้จริงแล้วการทำบุญโดยย่อมี 3 อย่าง
1.ให้ทาน
2.รักษาศีล
3.เจริญภาวนา
เรื่องให้ทานไม่ต้องพูดถึง ใครๆก็รู้ แต่ที่ส่วนมากไม่รู้คือเรื่องจำนวนเงินนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ความตั้งใจ
ถ้าตั้งใจจะได้อานิสงค์เต็มที่
วันนี้จะพูดเรื่องการรักษาศีล
ถ้าเราให้ทานแต่ถ้าไม่รักษาศีลมันก็เหมือนกันเราทำบาปอีกอย่างหนึ่ง ทำให้เราศีลเราขาด เข้าเรื่องดีกว่า
1.งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ด้วยตนเอง และใช้คนอื่นให้ฆ่า หมายความถึงการขายสัตว์เพื่อนำไปฆ่าด้วย
2.งดเว้นจากการลักทรัพย์ ด้วยตนเอง และใช้คนอื่นให้ลัก ถ้าเป็นพระอาบัติถึงปาราชิกเลย
3.งดเว้นจากการประพฤติละเมิดในทางประเวณี
4.งดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
5.เว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ถ้าเรารักษาศีลไม่ให้ขาดก็เหมือนกับการที่เราทำบุญนั่นแหละ


ธรรม 4 อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน
1.คือ ความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ
2.คือ ความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง
3.หมาย ถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่
4.หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่


สติ หมายถึง ความระลึกได้ ก่อนจะทำ พูด หรือคิด คืออาการของจิตที่นึกขึ้นได้ว่าจะทำ จะพูดอย่างไรจึงจะถูกต้อง มีหน้าที่กระตุ้นเตือนคนเราให้ทำ พูด หรือคิดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่หลงลืมตัว โดยใช้ดุลพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจึงปฏิบัติ หรือแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา

กล่าวคือความไม่ประมาทปล่อยจิตนึกคิดไปตามอารมณ์ที่ปรารถนา

“สติ” เป็นธรรมควบคุมเหนี่ยวรั้งจิตใจให้คิดดี ทำดี หรือพูดดี เพราะธรรมชาติของจิตมีการนึกคิดตลอดเวลา ซึ่งถ้าขาดสติกำกับ เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ อย่างไร้ทิศทาง แต่ถ้ามีสติกำกับแล้วจะทำให้ไม่ประมาทหรือพลั้งเผลอคิดชั่ว พูดชั่ว หรือทำชั่ว เพราะสติจะทำหน้าที่คอยควบคุม รักษาสภาพจิตใจให้อยู่ในภาวะที่ต้องการ โดยการตรวจตราความคิดเลือกรับแต่สิ่งที่ดีงาม กีดกันสิ่งที่ไม่ดีซึ่งตรงกันข้าม ตรึงกระแสความคิดให้เข้าที่ ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่าย

ในการเรียนหนังสือ ถ้านักเรียนควบคุมจิตใจให้มีสติมั่นคง สนใจในวิชาที่เรียน ขยันทบทวนสิ่งที่ได้เรียนมาแล้ว ไม่ปล่อยจิตฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องอื่นๆ สำรวมจิตให้จรดนิ่งสงบตั้งมั่นในอารมณ์เดียวไปตามลำดับ ไม่วอกแวก จะช่วยจำบทเรียนได้ดีกว่าคนที่ฟุ้งซ่าน

นักเรียนที่มีผลการเรียนดีจึงมีพื้นฐานมาจากการฝึกสตินี้เอง

ใน หน้าที่การงาน คนที่มีสติสามารถทำงานได้ผลดียิ่ง มีความผิดพลาดน้อย หรืออาจจะไม่มีข้อผิดพลาด หากขาดสติงานต้องผิดพลาดอยู่ร่ำไป ทำให้งานล่าช้า เสร็จไม่ทันตามกำหนด ไม่สามารถพัฒนาก้าวหน้าได้

ในการทำความดี ผู้มีสติสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท เว้นจากการทำความชั่วทุกอย่าง กระทำแต่ความดี และทำจิตให้ผ่องแผ้วจากกิเลสทั้งปวง สติเป็นหลักธรรมที่มีอุปการะมาก พัฒนาจิตพิจารณารู้เท่าทันสภาพที่แท้จริง ทำให้การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข เมื่อเจริญสติให้มากยิ่งขึ้นสามารถบรรลุมรรค ผล และนิพพานได้ในที่สุด

ความ รู้ตัวในขณะที่กำลังทำ กำลังพูด หรือกำลังคิดอยู่ เป็นอาการของจิตที่รู้จักแยกแยะสิ่งที่ตนกำลังทำ พูด คิดอยู่นั้นว่าเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ เหมาะกับตนหรือไม่ เป็นความสุขหรือทุกข์ และเป็นความดีหรือชั่วหรือไม่อย่างไร ความรู้ชัด ความรู้ตัว เป็นลักษณะแห่งความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลานี้ เรียกว่า  “สัมปชัญญะ”

“สัมปชัญญะ” เป็นธรรมที่ปฏิบัติคู่กับสติ แยกกันไม่ออก กล่าวคือสติเป็นเครื่องระลึกควบคุมยับยั้งจิตมิให้คิด พูด หรือทำชั่ว ส่วนสัมปชัญญะจะทำหน้าที่กำหนดรู้ในเวลาคิด พูด หรือทำอยู่ ดังนั้น จึงเรียกว่า สติสัมปชัญญะ

สติ ระลึกได้ทั้งในเรื่องอดีต อนาคต และปัจจุบัน ต้องใช้ในเวลาก่อนคิด พูด และทำ...สัมปชัญญะ รู้ตัวในปัจจุบัน ต้องใช้ในขณะที่กำลังคิด พูด และทำอยู่

สติและสัมปชัญญะนี้จัดเป็น กุศลธรรมที่คู่กันเสมอ จะแยกจากกันมิได้ เมื่อมีสติต้องมีสัมปชัญญะ สติเปรียบเหมือนดวงไฟ ส่วนสัมปชัญญะเปรียบเหมือนแสงสว่างของดวงไฟ

การ ทำหน้าที่ คนเราจำต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะ คือควรเจริญให้เกิดมีขึ้นในตนตลอดเวลา ทั้งในขณะจะทำ พูด หรือคิด เพราะสติสัมปชัญญะจะคอยคุมรักษาจิตให้ตั้งมั่นแน่วแน่ในทางที่ดีมีประโยชน์ ไม่ให้ความชั่วร้ายเข้าครอบงำจิตได้ ดังนั้น สติสัมปชัญญะจึงเป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง

“สติสัมปชัญญะ” มีอุปการะมากแก่คนเรา โดยเป็นธรรมควบคุมเส้นทางดำเนินชีวิตไม่ให้พลั้งเผลอทำในสิ่งที่ไม่สมควร ท่านเปรียบเหมือนหางเสือ ที่คอยกำหนดทิศทางไม่ให้เรือแล่นไปเกยตื้น เป็นเครื่องปลุกเร้าให้บุคคลมีเหตุผล รู้จักไตร่ตรองด้วยปัญญา และสนับสนุนธรรมคือการรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล

พฤติกรรมของผู้มีสติ สัมปชัญญะจะแสดงออกมาในลักษณะที่พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว บริโภคอาหาร รู้จักประมาณ รู้จักคุณโทษของอาหารที่จะบริโภค ไม่เผลอสติในการทำงาน มีความรอบคอบ ระมัดระวังในการทำกิจ เป็นต้น

ผู้มีสติสัมปชัญญะย่อมมี ความสำนึกรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าตัวเองเป็นใคร มีหน้าที่อย่างไร เมื่อปฏิบัติหน้าที่อยู่ รู้ตัวอยู่เสมอว่าตัวเองกำลังทำอะไร ดีหรือชั่ว เป็นคุณหรือโทษ เท่ากับว่าควบคุมตัวเองไว้ได้ตลอดเวลา

ด้วยความสำคัญ ดังกล่าวมานี้ ท่านจึงจัดสติสัมปชัญญะว่าเป็นธรรมมีอุปการะมาก คือเป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนเรา และเป็นธรรมมีอุปการะให้กุศลธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นดำรงมั่นคงอยู่ในจิตได้


ตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ธรรมอันทำงาม นั้นมีอยู่ 2 ประการ ดังนี้

         ประการแรก คือ ขันติ ความอดทน หมายถึง ความอดทนอดกลั้นไว้ได้ในเมื่อใจถูกกระทบด้วยอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ก็ไม่แสดงอาการวิตกทุกข์ร้อน หรือโมโหฉุนเฉียว ไม่มีการทำหรือคำพูดตอบโต้ เรื่องที่ต้องใช้ความอดทนนั้น มีอยู่ 4 ชนิด คือ อดทนต่อความลำบากตรากตรำ ไม่แสดงอาการย่อท้อ สิ้นหวัง ต่ออุปสรรคของชีวิต ทนต่อทุกเวทนา ไม่แสดงอาการทุรนทุรายจนเกินควรเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ทนต่อความเจ็บใจ ไม่แสดงอาการโกรธเมื่อไม่พอใจที่ถูกคนอื่นทำ หรือพูดกระทบกระแทกแดกดัน ทนต่ออำนาจกิเลส  ไม่แสดงอาการอยากมีอยากได้จนออกนอกหน้า แม้ได้มาก็ไม่ยินดีเกินเหตุ

         ประการที่ 2 คือ โสรัสจะ ความเสงี่ยม หมาย ถึง การรู้จักปรับสภาพจิตใจให้เยือกเย็นเหมืนเป็นปกติในเมื่อมีเรื่องต้องอดทน แม้จะถูกผู้อื่นทำหรือพูดกระทบกระทั่งจนเกิดเจ็บใจแต่ก็ทนได้ ไม่แสดงอาการใดๆ ให้ปรากฎ เป็นเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ธรรมข้อนี้ มีหน้าทีข่มใจให้สงบนิ่ง ไม่แสดงอาการผิดปกติออกมาภายนอก

         ธรรมทั้ง 2 ประการนี้ เรียกว่า โสภณธรรม  ธรรมอันทำให้งาม  เครืองประดับกายจำพวกเพชรนิลจินดา เป็นแค่เครื่องส่งเสริมความงามภายนอก แต่ขันติและโสรัสจะนี้ เป็นเครืองประดับภายในจิตใจ ทำให้เป็นคนมีสง่าราศรี น่ายกย่องนับถือ

         แค่หัวข้อธรรม 2 ข้อนี้คุณก็เป็นคนงามแล้ว ซึ่งไม่มีใครสามารถมาแย่งชิงเอาได้ ถ้าใครอยากได้ต้องทำให้เกิดขึ้นในใจเอง



"ธรรม คุ้มครองโลก" หมายถึง ธรรมที่ช่วยคุ้มครองทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ให้อยู่ด้วยกันอย่างปกติสุข โลกร่มเย็น ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายไม่เบียดเบียนกัน มีเมตตากรุณาต่อกัน ต่างไว้วางใจกันและกัน ในเรื่องต่างๆ เช่นชีวิต ทรัพย์สิน และของรักของหวง

เป็น คุณธรรมที่สนับสนุนหลักมนุษยธรรมให้เป็นไปด้วยดี โดยชักนำจิตใจของบุคคลให้เกิดความละอายต่อความชั่วและความเกรงกลัวต่อความ ประพฤติชั่วและผลของความชั่วที่จะติดตามมาทั้งยังป้องกันไม่ให้กระทำความ ชั่ว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

เป็นหลักธรรมสนับสนุนให้บุคคลมีสามัญสำนึกในการละเว้นความชั่วทุจริต เป็นการเบียดเบียนตนและผู้อื่นให้เดือดร้อนภายหลัง

ธรรมคุ้มครองโลก มี 2 ประการ คือ หิริ และโอตตัปปะ

2.โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว มีลักษณะหวาดสะดุ้งกลัวต่อผลที่จะเกิดจากการทำบาปทุจริต คือ การประพฤติผิดทั้งทางกาย วาจา และใจ โดยพิจารณาเห็นชัดว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน ทำกรรมใดไว้ต้องรับผลกรรมของนั้น จึงมีความหวาดกลัวสะดุ้งต่อผลของกรรมชั่ว ไม่กล้าทำแม้ความผิดเล็กน้อย

เหตุที่ทำให้เกิดความกลัวต่อความชั่ว คือ

- เพราะกลัวต้องติเตียนตัวเอง

- เพราะกลัวผู้อื่นจะติเตียน

- เพราะกลัวถูกลงโทษ ถูกลงอาญา

- เพราะกลัวความทุกข์จะส่งผลในภายหน้า

เมื่อคนเรามาพิจารณาคำนึงถึงเหตุนี้ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ความกลัวต่อความชั่วย่อมเกิดขึ้น

ผู้ มีความสะดุ้งกลัวต่อผลของบาปทุจริต เปรียบเหมือนคนที่มีนิสัยหวาดกลัวเป็นนิจเห็นอสรพิษแม้ตัวเล็กๆ เกิดสะดุ้งกลัว ไม่อยากเข้าใกล้ พยายามหลีกหนีให้ห่างไกล

ฉะนั้น ความกลัวที่จัดว่าเป็นโอตตัปปะแท้จริงนั้น ต้องเป็นความกลัวต่อผลของความชั่วบาป หรือทุจริตเท่านั้น ในกรณีที่คนเรากำลังเดินอยู่กลางป่า บังเอิญไปพบเสือโคร่งเข้าพอดี ย่อมเกิดความกลัวอันตรายที่จะได้รับ

ความกลัวเช่นนี้ไม่จัดว่าเป็นความกลัวด้วยโอตตัปปะ หากแต่เป็นความกลัวตามสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์ เพราะไม่ใช้ความกลัวต่อความชั่ว

ลักษณะ ของผู้มีหิริโอตตัปปะนั้นคือ "อายชั่ว กลัวบาป" บุคคลผู้ฝึกจิตใจให้อายชั่วกลัวบาปได้ดีแล้วเท่านั้น จึงจะไม่ทำความผิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ดังนั้น หิริโอตตัปปะจึงเป็นธรรมคุ้มครองโลก

คือมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินนี้ให้อยู่เย็นเป็นสุข
0 ความคิดเห็น

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น


ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาหลายคนที่มุ่งมั่นในการทำเงินทางอินเทอร์เน็ต แม้ว่าวันนี้เป้าของเรายังไม่สำเร็จ หลายคนกำลังได้รับประสบการณ์อันแสนเจ็บปวด จนอาจเกิดการท้อใจแล้วล่ะก็ ผมอยากจะนำบทความด้านล่างนี้มอบให้เป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆพี่ๆทุกคน เพื่อที่ว่าในปีหน้านี้ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เกิดปัญหากัีบชีวิต ก็ขอให้นึกถึงเรื่องราวข้างล่างนี้นะครับ จะได้มีแฮงใจ๋ สูกันต่อไป   

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี

1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก

เปล่าเลย ผมไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมาก
หากคำนวณในเชิงตัวเลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป

โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ
และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี

แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะ
อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ
อุแม่เจ้า... 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย

คิดแบบนี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้างๆ
เพราะนี่คือวันเสาร์ที่เราเหลือ...บนพื้นโลก


นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน(รู้นะว่าพวกเธอคิดอยู่) ....
ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืน
วันเสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น...คำนวณเองบ้างซิว้อย!!!

เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี


แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน

บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นเพียงว่า
เพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเอง
เหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...ไอ้บ้า!!!

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย
บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี


อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ


ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว...เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ


ตายได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้


เคยสงสัยมั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่าง
และตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว

และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตาย
วันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา


ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว
ทำในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบแล้ว...เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง

รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย...
เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว

ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอยให้สัมภาษณ์ยมบาล


คนข้างบ้านเดินหน้าแป้นแล้นมาบอกกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อม
การ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง แต่เมื่อกี๊นี้ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทร.มา
ปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย... แต่กว่าที่คนเป็นแม่จะได้รู้ข่าวร้าย ก็
ปาไป 5 วัน ซองในมือผมกลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้กลายเป็นพวงหรีดและทั้งหมดกลายเป็น
แรงบันดาลใจที่อยากจะบอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ

อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ


เดี๋ยวตายซะก่อน...เสียดายแย่!!!
0 ความคิดเห็น

กินข้าว

ภาพเก่า

กินข้าว


รูปผู้หญิงถือจานผักและผลไม้
ในยุคที่กระแสคนรักสุขภาพกำลังได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก รวมทั้งคนไทย การกินเพื่อสุขภาพคือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องให้ความใส่ใจเพราะการกินไม่ใช่ แค่การสนองความต้องการหรือให้อิ่มท้องเท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงผลที่มีต่อสุขภาพด้วย
อ.กัญชลี ทิมาภรณ์ นักโภชนาการโรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า อาหารและสุขภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน การเกิดโรคบางชนิดก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม หลายคนเคยหลงรูป รส หรือความสะดวกรวดเร็วของอาหารที่แฝงไปด้วยพิษภัยอย่างเงียบๆ เช่น ฟาสต์ฟูด อาหารสำเร็จรูป เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลมฯลฯ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผิดและตกยุค

ทั้งนี้ ปัจจุบันคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น จนเกิดกระแสรักสุขภาพและการกินเพื่อสุขภาพตามมา ดังนั้น จึงขอแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพเพื่อให้นำไปใช้กัน
1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ใน ปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทาง โภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหาร เหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูง วัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น

6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่ง มีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อ ช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล

การ กินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ใครจะเลือกปฏิบัติแบบใด แต่หลักง่ายๆ คือทานอาหารให้ครบ5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อารมณ์ที่สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ อ.กัญชลี ให้คำแนะนำทิ้งท้าย
0 ความคิดเห็น
 
Support : Creating Website Nakon
Copyright © 2013. คนบ้านเราเพ. - All Rights Reserved
Created by Suwachai