Featured Post Today
print this page
Latest Post

8 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ด้วย กระป๋องเบียร์

สำหรับคุณผู้อ่านที่รู้สึกว่า สัญญาณ Wi-Fi ของเราท์เตอร์ที่บ้านไม่แรงพอ ทดลองทำตาม 8 ขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้ดู บางทีอาจช่วยให้สํญญาณ Wi-Fi แรงขึ้นจาก 2 แท่งเป็น 4 – 5 แท่งเลยก็ได้ ที่สำคัญมันใช้แค่กระป๋องเบียร์ หรือกระป๋องเครื่องดืมน้ำอัดลมทั่วไปกับเครื่องไม้เครื่องมือไม่กี่ชิ้นเท่า นั้น นับเป็นไอเดียที่ฉลาดมากทีเดียว แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ว่าแล้วไปติดตามรายละเอียดการทำกันเลยดีกว่าครับ
1. ขั้นตอนแรกให้คุณเตรียมอุปกรณ์ และต้องใช้ ซึ่งประกอบด้วย กระป๋องน้ำอัดลมที่ทำจากอะลูมิเนียม กรรไกร คัทเตอร์คมๆ และดินน้ำมันกาว (Blu tack) ดังรูป


2. ทำความสะอาดกระป๋องด้วยน้ำสะอาดจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ภายใน

3. ดึงวงแหวนที่ปากกระป๋องทิ้งไป

4. ใช้คัทเตอร์ตัดก้นกระป๋องออกไปดังรูป

5. หลังจากนั้นนำคัทเตอร์มาตัดอีกด้านหนึ่งของกระป๋อง (ด้านที่ดึงวงแหวนออกไป) แต่ต้องตัดไม่ครบวงรอบ โดยเหลือช่วงที่ไม่ตัดให้ขาดออกใกล้ๆ กับช่องที่ใช้ปากดื่ม ข้อสังเกตคือ ระยะที่ตัดพยายามให้อยู่ใกล้ขอบกระป๋องมากที่สุดดังรูป

6. นำกรรไกรมาตัดข้างกระป๋องเป็นเส้นตรง โดยตำแหน่งที่ตัดจะอยู่ตรงข้ามกับด้านที่ติดขอบกระป๋อง

7. ค่อยๆ ใช้มือกางกระป๋องที่ตัดให้กว้างออกมาคล้ายๆ กับจานเรดาร์รับสัญญาณ

8. ติดดินน้ำมันกาวที่ด้านล่างองกระป๋อง แล้วนำกระป๋องไปสวมลงบนเสาอากาศของเราทเตอร์ผ่านทางช่องที่ใช้ปากดื่ม โดยดินน้ำมันกาวจะยึดปากกระป๋องเข้ากับด้านบนของเราท์เตอร์ จากนั้นจัดตำแหน่งให้เหมือนในรูปข้างล่างนี้

หลัง จากทำเสร็จแล้ว ทดลองเปิดเราท์เตอร์ให้ทำงาน แล้วสังเกตแท่งสัญญาณที่แสดงบนทาสก์บาร์ของ Windows บนโน้ตบุ๊คของคุณ โดยพยายามหันด้านทีสะท้อนสัญญาณของเสามาให้ตรงกับโน้ตบุ๊ค ลองดูว่า แท่งสัญญาณจะเพิ่มขั้นหรือไม่? ขอให้คุณผู้อ่านของเว็บไซต์ arip ที่่ลองทำตาม สามารถเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ได้แรงขึ้นดังที่ใจต้องการ โดยทั่วกันนะครับ



ข้อมูลจาก – http://www.websorb.net/?infoboard=topic.9.1608.1 
0 ความคิดเห็น

โปรแกรม MyGameFlash Version 1.0 รวมทุกเกมส์Flashบนโลกออนไลน์

วันนี้ผมได้มีไอเดียสนุกสนานเพื่อ เด็กๆ และทุกคนที่ต้องการความบันเทิงเพื่อความผ่อนคลายเบาสมอง ด้วยการเล่นเกมส์ Flash ที่หลากหลายแนวเกมส์ ผมได้จัดทำระบบค้นหาเกมส์ Flash ทุกเกมส์ บนโลกออนไลน์นำมาเก็บไว้ในฐานข้อมูลส่วนกลาง แล้วก็จัดทำโปรแกรมเพื่อใช้ในการ ค้นหา เกมส์จากฐานข้อมูลส่วนกลาง แล้วก็นำมาแสดงผล และก็สามารถให้เล่นเกมส์ที่ต้องการได้ง่าย ด้วยโปรแกรม MyGameFlash

จุดสำคัญของโปรแกรม MyGameFlash อยู่ที่มีความสามารถในการค้นหาเกมส์อย่างรวดเร็ว และแสดงเกมส์ได้หลายเกมส์ พร้อมมีภาพประกอบในแต่ละเกมส์ทั้งขณะเล่นจะทำให้คนเล่นไม่เสียอารมณ์จากการ เล่นและมีความต่อเนื่องจากการเล่นเกมส์ อย่างสนุกสนาน มาดูภาพประกอบและีวิธีใช้งานได้เลยครับ

วิธีใช้งาน

1. เปิดโปแกรมขึ้นมาแล้ว แล้วรอให้โหลดข้อมูล หรือ ป้อนชื่อ เกมส์ที่ต้องการแล้วกด ปุ่ม Serach แล้วรอผลจากการค้นหา

2. หากต้องการเล่นเกมส์นั้นๆให้ ดับเบิลคลิก ที่เกมส์ที่ต้องการ แล้วโปรแกรมจะแสดงหาเกมส์ที่ใช้ในการเล่นมาให้

โปรแกรมนี้ จัดทำขึ้นมาเพื่อเป็น แหล่งรวมเกมส์ Flash ให้สามารถค้นหาและเล่นได้ง่าย โปรแกรมไม่ได้ เก็บเกมส์ Game ไว้ใน serverของตัวเองตัว แต่เป็นการใช้ การอ้างถึง ของ URL ในอินเตอร์เน็ตที่ได้จากการค้นหาเพียงเท่านั้น

หมายเหตุ: สามารถนำไปแจกต่อที่เว็บอื่นๆได้ แต่จะต้องให้ Credit กับ http://www.Ideafunction.com เท่านั้น

ขอให้สนุกกับการเล่น

ดาวน์โหลดโปรแกรม ปรับปรุง

หรือต้องการเล่นผ่านเว็บไชต์ได้ที่

เล่นเกมส์ผ่านเว็บ

ไอเดียเล็กๆ แต่อาจสำคัญกับใครอีกหลายคน

ข้อมูลจาก

http://www.Ideafunction.com

0 ความคิดเห็น

มาดูสิว่าคุณผ่านวิชาคณิตศาสตร์ ป.3 หรือยัง?

สวัสดีครับทุกคนวันนี้ผมขอเสนอแบบทดสอบความรู้ืพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์ มาให้ลองทดสอบกันว่าคุณผ่านป.3 หรือยัง
ด้วยแบบทดสอบที่ออกโดย สสวท ครับ จะยากหรือง่ายก็มาลองดูกัน
อย่าโกหกตัวเองนะ สามารถนำแบบทดสอบนี้เผยแพร่ต่อได้ครับ หรือเอาไปให้น้องๆ ลองฝึกทำแบบทดสอบก็ได้ครับ


ขอบคุณสำหรับแบบทดสอบดีๆจากอาจารย์เจียบ
0 ความคิดเห็น

((( ตัวอย่าง ))) การออกแบบ โลโก้ที่ ผิดพลาด















โลโก้ที่ท่านใช้อยู่มองดูหลายๆมุมนะคับ มิฉะนั้น อาจเป็นเช่นนี้
0 ความคิดเห็น

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วัน [อ่านแล้วกำลังใจพุ่งปรี้ดทันที เก็บน้ำตาด้วย]


เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี

1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก

เปล่าเลย ผมไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมาก
หากคำนวณในเชิงตัวเลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป

โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ
และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี

แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะ
อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ
อุแม่เจ้า... 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย

คิดแบบนี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้างๆ
เพราะนี่คือวันเสาร์ที่เราเหลือ...บนพื้นโลก


นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน(รู้นะว่าพวกเธอคิดอยู่) ....
ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืน
วันเสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น...คำนวณเองบ้างซิว้อย!!!

เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี


แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน

บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นเพียงว่า
เพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเอง
เหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...ไอ้บ้า!!!

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย
บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี


อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ


ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว...เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ


ตายได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้


เคยสงสัยมั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่าง
และตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว

และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตาย
วันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา


ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว
ทำในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบแล้ว...เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง

รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย...
เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว

ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอยให้สัมภาษณ์ยมบาล


คนข้างบ้านเดินหน้าแป้นแล้นมาบอกกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อม
การ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง แต่เมื่อกี๊นี้ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทร.มา
ปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย... แต่กว่าที่คนเป็นแม่จะได้รู้ข่าวร้าย ก็
ปาไป 5 วัน ซองในมือผมกลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้กลายเป็นพวงหรีดและทั้งหมดกลายเป็น
แรงบันดาลใจที่อยากจะบอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ

อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ


เดี๋ยวตายซะก่อน...เสียดายแย่!!!

ชอบไม่ชอบบอกกันบ้างเด้อ จะได้หามาฝากอีก
0 ความคิดเห็น

จากสูงสุดสู่สามัญ..คำบอกเล่าจากแพทย์ที่เคยมีทุกสิ่งกับคติสอนใจเรื่องเยี่ยม



            ชีวิตคนเรา.. แท้จริงแล้วต้องการอะไร? คำถามนี้หลายคนเฝ้าตามหาคำตอบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ในวันที่คนเรามีพร้อมทุกสิ่งกับในวันที่เราสูญสิ้นทุกสิ่ง สิ่งที่เรามองหาและต้องการนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
 

            ดังเช่นบทความที่มีการแชร์กันในเฟซบุ๊กกันอย่างมากในขณะนี้ ซึ่ง เป็นเรื่องราวของ Dr. Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์อายุ 40 ปี แต่พบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขาจึงมาเล่าประสบการณ์ชีวิตให้กับชั้นเรียนของนักศึกษาทันตแพทย์ในวันที่ 19 มกราคม 2555 ซึ่งถือเป็นข้อคิดเตือนใจในการใช้ชีวิตของคนเราได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม นายแพทย์คนดังกล่าวได้เสียชีวิตลงแล้วในวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่เรื่องเล่าของเขาถูกบอกต่อกันมาให้เราได้อ่านกันดังต่อไปนี้

            "สวัสดีครับทุกท่าน เสียงผมจะแหบเล็กน้อย ได้โปรดอดทนกับเสียงผมหน่อยแล้วกัน ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อ Richard เป็นแพทย์ครับ ผมอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตของผม ต้องขอขอบคุณท่านศาสตราจารย์ที่เชิญผมมาพูดในวันนี้ ผมหวังว่ามันคงจะช่วยให้พวกคุณได้คิดถึงเรื่องอื่น ๆ บ้างในเส้นทางของการ train เป็นทันตแพทย์ศัลยกรรมช่องปาก

            ตอนผมยังเด็ก ผมเป็นตัวอย่างผลผลิตของสังคมในปัจจุบัน เป็นผลผลิตที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตามที่สังคมต้องการ ตั้งแต่ เด็กมาแล้ว ผมมาจากครอบครัวที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ผมถูกพร่ำสอนจากสื่อต่าง ๆ จากผู้คนรอบ ๆ ตัวว่า ความสุขเป็นเรื่องของความสำเร็จ และความสำเร็จที่ว่าก็เป็นเรื่องของความร่ำรวย ด้วยแนวคิดนี้ ผมจึงต้องต่อสู้ แข่งขัน อยู่เสมอตั้งแต่เป็นเด็ก

            ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด, ผมต้องประสบความสำเร็จในทุกสนามแข่งขัน ในทุกกลุ่มที่สังกัด ในถนนทุกสาย ผมต้องได้ถ้วยรางวัล ต้องได้รับชัยชนะทุก ๆ อย่าง ผมเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ จบมาเป็นแพทย์ พวกคุณบางคนอาจจะพอรู้ว่าในบรรดาสาขาต่าง ๆ นั้น จักษุวิทยา (Opthalmology) เป็นหนึ่งในสาขาที่แย่งกันเรียนมากที่สุด ดั้งนั้นผมจึงต้องเรียนจักษุวิทยาให้ได้ และผมก็ได้เรียน แถมยังได้ทุนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เพื่อพัฒนาเลเซอร์ สำหรับรักษาตาอีกด้วย

            ในช่วงที่ผมเรียนอยู่นั้น ผมได้สิทธิบัตร 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ อีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเลเซอร์ แล้วพวกคุณรู้มั้ย บรรดาความสำเร็จทางวิชาการพวกนี้ไม่ได้นำความร่ำรวยมาให้ผมเลย ดังนั้น หลังจากหมดพันธะกับทางมหาวิทยาลัยแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า นี่มันนานเกินไปแล้ว การฝึกฝนทางจักษุวิทยามันใช้เวลานานเกินไป ผมน่าจะทำเงินได้มากโขในภาคเอกชน พวกคุณคงพอรู้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรื่องของเวชศาสตร์ความงามบูมมาก แถมยังทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ พอกันทีกับงานในมหาวิทยาลัย ถึงเวลาต้องไปแล้ว ผมจึงลาออกจากการ train กลางคันและหันเหไปตั้งคลินิกความงามของตัวเอง

            พวกคุณรู้ไหม น่าขำที่ผู้คนไม่ได้มองหาฮีโร่จากแพทย์ทั่วไป (GP) หรือแพทย์ครอบครัว (family physician) พวก เขามองหาฮีโร่จากแพทย์ที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย พวกเขาจะไม่มีความสุขกับการเสียเงิน 20 เหรียญเพื่อพบแพทย์ทั่วไป แต่ไม่บ่นสักคำที่จะจ่ายเป็นหมื่น ๆ ดอลล่าร์สำหรับการดูดไขมันหรือเสริมเต้านมหรืออะไรก็แล้วแต่ ดูเหมือนไม่มีสมองเอาเลยว่ามั้ยครับ แล้วพวกคุณจะเป็น GP ไปทำไมกัน เป็นแพทย์ความงามดีกว่า ดังนั้น แทนที่ผมจะรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย ผมตัดสินใจที่จะเป็นผู้ดูแลความงาม คุณเอ๋ย ธุรกิจมันดี ดีจริง ๆ ผ่านไป 1 สัปดาห์ 3 สัปดาห์ 1 เดือน 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน คลินิกผมก็ล้น คนมารับบริการมากมาย ช่างเป็นธุรกิจที่มหัศจรรย์จริง ๆ ผมต้องจ้างแพทย์เพิ่ม จาก 1 คน เป็น 2 คน 3 คน และสุดท้าย 4 คน ภายในปีแรก ผมทำเงินเป็นล้าน ๆ นั่นแค่ปีแรกนะ ผมเริ่มลุ่มหลง หมกมุ่นกับมัน ผมขยายธุรกิจไปที่อินโดนีเซียเพื่อให้บริการกับคนไข้ชาวอินโดนีเซียผู้ร่ำ รวยทั้งหลาย ชีวิตมันช่างสวยงามจริง ๆ






            ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้มากมายก่ายกองนั่นยังไง? วันสุดสัปดาห์ผมใช้ชีวิตยังไง? ผมสังกัดกลุ่มคนรักรถ supercar ผมชอบสะสมรถครับ ผมซื้อรถหรู ๆ ขับไปถึงมาเลเซียโน่น เพื่อไปแข่งรถในสนามแข่ง นั่นละครับชีวิตของผม เงินยังเหลืออีกเยอะ ทำอะไรอีก? ผมซื้อ Ferrari ครับ ตอนนั้น รุ่น 458 ยังนิยมมาก เปิดประทุนได้ด้วย (ชี้ใน slide) นี่เพื่อนสมัยมัธยมของผมครับ เป็นนายธนาคาร คันของเขาสีแดง ผมก็เลยต้องเลือกสีเงิน

            พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว ผมเที่ยวหาทำเลสร้างบ้าน และก็สร้างบ้าน คฤหาสน์หลังใหญ่ ดูผมใช้ชีวิตสิครับ ผมอยู่ท่ามกลางสังคมของคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง คนนี้เป็น Miss universe ผมไปดื่มไปเที่ยวกับคนพวกนี้ นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Facebook มหาเศรษฐีพันล้านเชียวนะครับ ร้านอาหารก็ต้องระดับ Michelin เท่านั้น




            ตอน นั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแล้ว ผมถึงจุดสูงสุดในวิชาชีพของผม นี่คือรูปผมเมื่อปีก่อน กำลังเล่น Gym อยู่ หล่อล่ำเลย ตอนนั้นผมคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในการควบคุมของผมและผมถึงยอดเขา แล้ว แต่...ผมผิดถนัดครับ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผม ปีที่แล้วเดือนมีนาคม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บตรงกลางหลัง ตอนนั้นคิดไปว่าอาจจะออกกำลังกายมากเกินไป ผมจึงไปโรงพยาบาล พบเพื่อนผม ผมทำ MRI เพื่อดูว่าอาจจะมีหมอนรองกระดูกหลังเคลื่อนหรือเปล่า

            เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า "กระดูกสันหลังของนายดูเหมือนจะมีเนื้องอกอะไรบางอย่างนะ" ผมตอบไปว่า "ว่าไงนะ มันหมายความว่ายังไง?" อันที่จริงผมรู้ความหมายดี แต่ไม่ยอมรับความจริง "พูดจริงหรือเปล่า" ตอนที่คุยนั้น ผมยังวิ่งอยู่ใน Gym อยู่เลยคุณรู้หรือเปล่า วันถัดมาผมทำ scan ต่าง ๆ เพิ่มเติม รวมทั้ง PET scan ด้วย สุดท้ายก็สรุปว่าผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ตอนนั้นผมคิดในใจว่า "มันมาจากไหนกันวะ" มะเร็งลามไปสมอง ไปกระดูกสันหลัง ไปตับและต่อมหมวกไตเรียบร้อยแล้ว พวกคุณลองคิดดู ผมคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ ผมถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่ฉับพลันผมก็สูญเสียมันไปในทันที




            อยากให้ดูรูป CT scan ปอดผม ลองดูดี ๆ ทุก ๆ เม็ดในนั้นคือมะเร็งครับ เราเรียกมันว่า Miliary tumor จริงๆ แล้วผมมีมันเป็นหมื่น ๆ เม็ดในปอด ผมได้รับคำอธิบายว่า ถึงแม้จะให้เคมีบำบัดอย่างเต็มที่ ผมก็จะอยู่ได้เต็มที่ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น เหมือนฟ้าถล่มดินทลายทับตัวผมมั้ยครับ ใครจะไม่เป็นบ้างล่ะ ผมมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงเป็นเดือน ชีวิตผมหมดสิ้นแล้ว

            น่า ขำที่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรู ๆ เอย คฤหาสน์เอย ทั้งหมดนั้นผมคิดไปว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่ในยามที่ผมตกอยู่ภาวะซึมเศร้า หดหู่ใจ สิ่งต่าง ๆ ที่ผมมี มันกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขได้เลย และความคิดที่ว่าผมนอนกอดรถ Ferrari แล้วจะทำให้ผมหลับตาลงได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้เลยแม้แต่นิดเดียวตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย สิ่งที่นำความสุขมาให้ผมในช่วง 10 เดือนสุดท้ายกลับเป็นการได้พบปะกับผู้คน ได้พบกับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ ผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่นำความสุขมาให้ผม ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ ที่ผมมี ไม่ใช่สมบัติที่ผมครอบครอง สิ่งต่าง ๆ ที่ผมเคยเหมาเอาว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่เปล่าเลย ถ้ามันทำได้จริง เวลาที่ผมคิดถึงมัน ผมควรจะมีความสุข แต่มันกลับทำให้ผมแย่ลงไปอีก
 

            ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมทำอะไรรู้มั้ย ผมมักจะขับรถหรูของผม ไปทำงาน ไปเยี่ยมบรรดาญาติของผม เพียงเพื่อจะอวดร่ำอวดรวย ผมเองก็บันเทิงกับเรื่องแบบนี้เสียด้วย แต่มานึกแล้วเพื่อนๆ ของผม ญาติ ๆ ของผมคงจะกระอักกระอ่วนใจและคงอยากจะให้ผมกลับไปเสียเร็วๆ มากกว่า พวกเขาจะร่วมยินดีไปกับผมหรือ? ไม่มีทาง เขาคงไม่คิดจะดีใจไปกับผม และคงอยากให้ผมไปให้พ้น ๆ คงอยากให้ผมลองนั่งรถเมล์ดูมั่ง จริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมทำลงไป ทำให้พวกเขาอิจฉาริษยาสิ่งที่ผมมี และบางทีก็คงนึกหมั่นไส้ผมอีกด้วย

            นั่นแหละที่เรียกว่า "ตัวสร้างความอิจฉาริษยา" ผมไปอวดร่ำอวดรวย เพียงเพื่อจะเติมเต็มอัตตาและความยะโสของตัวเอง มันไม่ได้นำความสุขมาให้ผู้อื่นเลย ทั้งเพื่อน ทั้งญาติของผม ผมคิดไปเองว่าพวกเขาจะมีความสุขไปกับผม

            ผมจะเล่าเรื่อง ๆ หนึ่งให้ฟัง ตอนที่ผมอายุเท่าพวกคุณ ผมพักอยู่ที่หอ Edward VII Hall ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีนิสัยแปลก เธอชื่อ Jennifer ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เวลาผมเดินไปตามทางกับเธอ ถ้าเธอเห็นหอยทากคลานอยู่ในทางคนเดิน เธอจะคอยหยิบพวกหอยทากนั่นไปวางในสนามหญ้าให้พ้นจากทางเดิน ผมถามเธอว่า เธอทำอย่างนั้นทำไม ทำให้มือสกปรกเปล่า ๆ มันก็แค่หอยทากตัวหนึ่ง ความจริงก็คือ เธอเข้าใจหอยทากได้ ความรู้สึกที่ว่าถูกเหยียบบี้แบนจนตายนั้น เธอรับรู้ได้ แต่สำหรับผม มันก็แค่หอยทาก ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะเกิดมาเป็นคนได้ คุณก็สมควรโดนเหยียบตาย นั่นเป็นกฎของวิวัฒนาการอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

            ที่ที่สอนผมให้เป็นแพทย์ เขาสอนผมให้เป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจ ให้เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น แต่ผมกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย ตอนที่ผมเป็นแพทย์ประจำบ้าน ทำงานอยู่ในแผนกรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ทุกเมื่อเชื่อวัน วันแล้ววันเล่า ผมพบเจอกับความตาย ยามที่ผมมองคนไข้กำลังทุกข์ทรมาน ผมเห็นแค่ว่าพวกเขากำลังปวด และผมมีหน้าที่ให้ Morphine แก่พวกเขาเพียงเพื่อระงับอาการปวด ผมเห็นพวกเขากำลังดิ้นรนหายใจจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย นั่นเป็นเพียงภาระหน้าที่ ผมไปที่ตึกผู้ป่วย เจาะเลือด ให้ยาแก่พวกเขา แต่มันมีความหมายอะไรกับผมหรือเปล่า? ไม่เลย มันก็แค่งาน ผมทำงาน ทำหน้าที่จนเสร็จ แล้วก็ออกจาก ward ไป แต่ละวันผมแทบจะรอกลับบ้านแทบไม่ไหว

            ความ เจ็บปวดคืออะไรหรือครับ? ความทุกข์ทรมานที่ผู้ป่วยต้องประสบมันมีความหมายอะไร? ไม่มี แน่ละ เรามีศัพท์เทคนิคต่าง ๆ ในการนิยามในการวัดความปวด ความทุกข์ทรมานเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่รู้ซึ้งจริง ๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร จนกระทั่งผมกลายมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และถ้าคุณจะถามผมว่าผมจะเปลี่ยนไปเป็นแพทย์อีกคนที่แตกต่างไปจากนี้หรือ เปล่าถ้าผมกลับมีชีวิตอีกครั้ง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ป่วยเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งนี้จากของจริง

            แม้ว่าพวกคุณจะเพิ่งเริ่มเรียนปีแรก และเข้าสู่เส้นทางของการเป็นศัลยแพทย์ช่องปาก ผมอยากจะลองท้าทายคุณ 2 เรื่อง

            ประการแรก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนในที่นี้จะต้องเข้าไปสู่ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน พวกคุณจะเริ่มสะสมความมั่งคั่ง รับประกันได้เลยครับ แค่ใส่ Implant สักอัน คุณก็ได้เงินเป็นพัน ๆ ดอลลาร์แล้ว ช่างน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยครับ จริง ๆ แล้วไม่ผิดหรอกครับที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ผิดที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ผิดเลย ปัญหาประการเดียวก็คือ พวกเราส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วยไม่สามารถควบคุมจัดการมันได้

            ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงินทอง ยิ่งผมมีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องการอะไรมาก เราก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กันมัน เหมือนกับที่ผมได้พูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งหมดที่ผมทำก็คือสะสม ๆ ๆ เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสุด เหมือนกับที่สังคมทำกับเรา เหมือนกับที่สังคมอยากให้เราเป็น เมื่อผมหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีความหมายสำหรับผมอีกต่อไป คนไข้ที่เดินเข้ามาก็เพียงแค่ถังเงิน และผมก็จะรีดเงินออกจากคนไข้พวกนี้จนถึงหยดสุดท้าย

            นานมากแล้วที่เราหลงคิดไปว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายรับ เราหลงลืมเสียสนิทว่าเราแทบจะไม่ได้ให้ใครเลยเว้นแต่ตัวเราเอง สิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ไม่ว่าจะในวงการแพทย์, วงการทันตแพทย์ ผมบอกได้เลย ขณะนี้ในภาคเอกชน บางครั้งเราถึงกับให้คำแนะนำกับผู้ป่วยเพื่อให้รับการรักษาหรือการผ่าตัดที่ ไม่มีข้อบ่งชี้ มันเป็นพื้นที่สีเทา และแม้ว่าบางเรื่องมันจะไม่จำเป็นเลย เราก็ยังแนะนำคนไข้ให้ทำ และถึงตอนนี้ ผมก็รู้ว่าใครบ้างที่หวังดีกับผมอย่างแท้จริง และใครบ้างที่หลอกเอาเงินผมโดยการเสนอ "ความหวัง" ให้ผมอยู่ เราสูญเสียเข็มทิศทางจริยธรรม (moral compass) ไปเรื่อย ๆ ตลอดเส้นทางสายนี้ เพียงเพราะว่าเราต้องการ make money

            ที่แย่ไปกว่านั้น ผมบอกได้เลย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เราพูดให้ร้ายเพื่อนร่วมวิชาชีพของเรากันเอง เสมือนเป็นคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน เราแทบไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้เลย ถ้าเราสามารถจะกดคนอื่นลงเพื่อให้เราได้ผลประโยชน์แล้วละก็ เราก็จะทำมันทันที นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ทั้งในวงการแพทย์ ทันตแพทย์ และทุกๆ วงการ สิ่งที่ผมจะเตือนคุณก็คือ อย่าทิ้งเข็มทิศทางจริยธรรมไปเป็นอันขาด ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาอย่างยากลำบาก และหวังว่าพวกคุณจะไม่เป็นเช่นนั้น

            ประการที่สอง พวกเราหลายคนด้านชากับคนไข้ของเราในยามที่เรารักษาพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน คราวที่ผมทำงานอยู่ในโรงพยาบาลและต้องสรุปแฟ้มประวัติผู้ป่วยเป็นตั้ง ๆ ผมจะรีบจัดการเจ้าแฟ้มเหล่านั้นไปโดยเร็วที่สุด ผมจะรีบตรวจคนไข้และให้เขาออกไปจากห้องของผมโดยเร็วที่สุด เพราะคนไข้มันช่างมากมายเหลือเกิน นั่นคือเรื่องจริง เพราะมันเป็นแค่งาน งานที่ซ้ำซากจำเจมากๆ นั่นแค่ส่วนหนึ่ง ถามว่าผมรู้ไหมว่าคนไข้แต่ละคนรู้สึกอย่างไร? ผมไม่รู้หรอก ความหวาดวิตกกังวลต่าง ๆ ที่พวกเขามี ที่พวกเขาประสบอยู่ ผมรู้ไหม? ไม่เลย จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับผมเอง และผมคิดว่านั่นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในระบบสาธารณสุขของเรา

            เรา ถูกสอนมาให้เป็นผู้ให้บริการสาธารณสุข เป็นมืออาชีพ แต่ทั้งหมดทั้งเพ เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนไข้รู้สึกจริง ๆ เช่นไร ผมไม่ได้ขอให้พวกคุณเข้าอกเข้าใจคนไข้อย่างลึกซึ้งอะไรมากมาย ผมไม่คิดว่านั่นจะทำให้เราเป็นมืออาชีพหรอก แต่จริง ๆ แล้วเราได้พยายามที่จะเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขาหรือยัง? พวกเราส่วนใหญ่คงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นไรครับแต่อย่าละเลย สิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณคือ จงพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา (put yourself in your patient’s shoes)

            เพราะความเจ็บปวด ความกังวลใจ ความหวาดกลัว สำหรับคนไข้แล้วมันเป็นของจริงครับแม้ว่ามันอาจจะดูไม่จริงสำหรับคุณ ดังนั้น จงอย่าละเลยมัน พวกคุณรู้ไหมครับ ตอนนี้ผมกำลังได้รับเคมีบำบัดรอบที่ 5 อยู่ ผมบอกได้เลยว่ามันเลวร้ายมาก เคมีบำบัดเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณไม่อยากจะประสบ ต่อให้กับศัตรูของคุณก็เถอะ เพราะมันช่างทุกข์ทรมาน ทุเรศทุรัง เหมือนถูกโดดเดี่ยว กินอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เลวร้ายจริง ๆ และถึงตอนนี้ ยามที่ผมพอมีเรี่ยวแรงอยู่บ้าง ผมพยายามที่จะปลอบประโลมผู้ป่วยมะเร็งคนอื่น ๆ เท่าที่จะทำได้ เพราะผมเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมันเป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปและยังไม่เพียงพอ

            พวกคุณทั้งหลายมีอนาคตที่สดใสรออยู่เบื้องหน้า ตัวคุณเปี่ยมไปด้วยพลัง ผมกำลังจะบอกให้คุณไปหาคนไข้คนถัดไปของคุณ มองเขาในฐานะมนุษย์ที่มีความเจ็บปวดและกำลังทุกข์ทรมาน อย่าได้คิดว่าคนยากจนเท่านั้นที่จะทุกข์ นั่นไม่จริงเลย คนยากคนจนทั้งหลายจริง ๆ แล้วเขาพอใจในสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ พวกคุณควรจะรู้ไว้ด้วยว่าพวกเขามีความสุขมากกว่าคุณและผมเสียอีก ยังมีผู้คนอีกมากที่กำลังทุกข์ทรมาน ทั้งทางจิตใจ ทางร่างกาย ทางอารมณ์ และอื่น ๆ อีกมาก และนั่นเป็นของจริง เราเลือกที่จะมองข้ามพวกเขา หรือเพียงไม่อยากรับรู้ว่าพวกเขามีตัวตนอยู่

            ลองกลับไปคิดดูนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือทันตแพทย์ ลองสัมผัสถึงผู้คนเหล่านั้นผู้ซึ่งต้องการคุณ ไม่ว่าอะไรที่คุณทำลงไปจะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่กับพวกเขา สำหรับผมตอนนี้ใกล้จะถึงฉากสุดท้าย ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร คนที่เป็นห่วงเป็นใยผม ให้กำลังใจผม ได้สร้างความแตกต่างอย่างมากในตัวผม รูปที่เห็นคือผมหลังได้รับการรักษาเมื่อไม่นานมานี้ สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย และนั่นทำให้ผมยังมีลมหายใจอยู่และสามารถมาพูดคุยกับพวกคุณได้ในวันนี้

            ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้ มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie พวกคุณบางคนคงเคยอ่านแล้ว

            Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that.

            The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently.
 

            เมื่อ ผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร ผมรู้ว่ามันออกจะเคร่งเครียดไปหน่อยสำหรับเช้าวันนี้ แต่นั่นคือความจริงครับ นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบมา

            อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่าให้สื่อต่าง ๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องนี้และตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ชีวิตของคุณ เองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย

            ผมขอขอบคุณทุกท่าน ถ้ามีคำถามอะไรที่จะถามผม ยินดีครับ ขอบคุณ"







คลิป Dr Richard Teo - Thoughts of Life, Wealth, Success & Happiness โพสต์โดย AngeliteAkira
0 ความคิดเห็น

บาร์เทนเดอร์ คือ


Bartender มือใหม่

หลังจากที่ทำ Blog ขนม, Blog ชงกาแฟ มาแล้ว คราวนี้เลยขอเปิดตู้คลังแสงประจำบ้าน ลองมาทำเกี่ยวกับ Blog Cocktail ดูบ้างแล้วกันครับ


ก่อนอื่น เบื้องต้นขอเริ่มจากเกร็ดความรู้ทั่วไปที่เกี่ยวกับการผสม ค็อคเทลก่อนนะครับ จะได้ไม่มาลงสัยภายหลังว่าอะไรคืออะไร


ชนิดของเหล้าที่ควรรู้

วิสกี้ (Whisky)
- อันนี้เหล้าพื้นฐานครับ ทำมาจากข้าวนำมาหมักแล้วเอาไปกลั่นแล้วค่อยนำมาบ่มอีกที มีตั้งแต่ขวดละร้อยกว่าบาท ไปจนถึงหลักหมื่น ทั่วไปผมชอบใช้ Red Label 1ลิตร หรือ 100 Pipers ในการทำครับเพราะหาง่ายและราคาไม่แพงจนเกินไป..
*ยังขาด Gold Label อีกขวด ยินดีรับบริจาคจ้า..

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



บรั่นดี และ บรั่นดีผลไม้ (Brandy & Fruit Brandy)
- บรั่นดีนั้นจะทำมาจาก ไวน์(องุ่น) ที่เอาไปกลั่นจนเป็นบรั่นดี จากนั้นนำไปบ่มต่ออีกทีครับ สนนราคามีตั้งแต่หลักร้อย เช่น รีเจนซี่ ไปจนถึงหลักหมื่นเช่นพวก คอนยัค(Cognac) ส่วนบรั่นดีผลไม้นั้นก็คือบรั่รดีที่ทำมาจากผลไม้อื่นๆที่ไม่ใช่องุ่นครับ..

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ว็อดก้า (Vodka)
- โดยทั่วไปของ ว็อดก้า จะเป็นเหล้าที่ใสไม่มีสี และมีกลิ่นเล็กน้อยเท่านั้น หาได้ไม่ยาก ราคามีตั้งแต่ขวดละ 200 กว่าบาทไปจนถึง ราวๆ 1,500 ครับ
*ผมว่าขวดละ 5 – 700 ก็ OK แล้วนะ..

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ตากีล่า (Tequila)
- ตากีล่า เป็นเหล้าที่มีกลิ่นค่อนข้างแรง นิยมกันมากใน เม็กซิโก ส่วนมาก ตากีล่าจะใสไม่มีสี แต่ตากีล่าบางชนิดจะนำไปบ่มในถังไม้จะได้เป็นตากีล่าที่มีสีเหลืองซึ่งราคาจะสูงกว่าเล็กน้อย ส่วยราคาทั่วไปของตากีล่า จะอยู่ที่ 350 – 1,000 ครับ
*แนะนำให้ใช้ของดีหน่อยเพราะเหล้าตัวนี้เน้นที่กลิ่นครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จิน (Gin)
จิน เป็นเหล้าใสไม่มีสี(ที่เห็นสีฟ้านั่นสีของขวดนะครับ) ทำมาจาก ข้าว และ สมุนไพร และกลิ่นของผล Juniper ราคาทั่วไปในบ้านเราเริ่มตั้งแต่ราวๆ 300 – 900 ครับ (ส่วน Gin อันนี้ผมว่าใช้แบบราคา 3 – 400 ก็ OK แล้วครับ)

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

รัม (Rum)
- รัม เป็นเหล้าที่ผลิตจาก อ้อย หรือ กากน้ำตาล แบ่งได้เป็น รัมขาว(White Rum), รัมทอง(Gold Rum) และ รัมดำ(Dark Rum) ครับโดยที่สีและกลิ่นจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ราคาทั่วไปจะเริ่มที่ราว 300 - 700 ครับ
*แสงโสม ของไทยเนี่ย จัดเป็น รัมทองนะครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แอพเพอริทิฟ (Aperitif)
- แอพเพอริทิฟ จัดอยู่ในประเภทเหล้ายา สมัยก่อนปกติมักนิยมดื่มก่อนหาหาร ทำจาก เหล้า เหล้าองุ่น เครื่องเทศ และสมุนไพรต่างๆ แบ่งได้หลักๆเป็น 3 ประเภทคือ เวอร์มุท(Vermouth), บิตเตอร์(Bitter), อนิส(Anis) ราคามีตั้งแต่ 300 - 1000 ครับ
*ในรูป 2 ขวดนั้นคือ ดรายเวอร์มุท(Dry Vermouth) และ สวีท เวอร์มุท(Sweet Vermouth) ครับ ตัวอื่นๆใช่ไม่บ่อยเลยยังไม่ได้ซื้อ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เหล้าหวาน (Liqueur)
- เหล้าหวานจะเป็นการนำเอาตัวเหล้ามาปรุงแต่งใหม่ โดยเพิ่มตวามหวาน สี กลิ่น รส ลงไป โดยที่ สิ่งปรุงแต่งนี้จะนำมาจาก สมุนไพร หรือ เครื่องเทศ ต่างๆ มีหลายชนิดมาก ราคาทั่วไปมีตั้งแต่ 250 – 600 ครับ
*แนะนำว่าเหล้าหวานที่ชื่อ บลู คูราโซ่ (Blue Curacao) ควรมีไว้ครับ เพราะใช้บ่อยมาก

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ส่วนผสมอื่นๆ
นอกจากตัวเหล้าแล้ว การทำ ค็อคเทล หลายๆตัว ยังต้องใช้ส่วนผสมอื่นๆด้วยนะครับ..


ส่วนผสมหลักที่ควรมีติดบ้าน
- โซดา
- น้ำส้ม,น้ำสับปะรด,น้ำมะนาว
- น้ำเชื่อม(สามารถทำเองได้ดดยผสม น้ำ : น้ำตาลทราย ในปริมาตร 2.5 : 6 ตั้งไฟให้เดือดราว 2 - 3 นาทีครับ)
- น้ำเชื่อมกลิ่นทับทิม
- น้ำหวานเข้มข้นกลิ่นต่างๆ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


อุปกรณ์ที่จำเป็น

ที่ตวง ที่คน Shaker


- ที่ตวงนี่ เอาแค่มีปริมาตรตวงได้ก็พอครับ ถ้าเอาแบบมืออาชีพนี่ ราคาจะ ต่างกันราว 10 – 20 เท่าเลยทีเดียว
- ส่วนตัว Shaker นี่มีติดบ้านไว้ก็ดี แต่ก็ไม่ถึงขนาดจำเป็นมากครับ แต่ถ้าคิดจะซื้อ อยากแนะนำเป็นแบบสเตนเลส ที่มีปริมาตร มากกว่า 500cc. ครับ


แก้วใส่ Cocktail


- อันนี้แล้วแต่ความชอบใจเลยครับ ถ้ากินเองอยู่กันบ้านใส่อะไรก็ดื่มได้ แต่ถ้าเผื่อไว้รับแขกอยากดูดีหน่อยก็มีแก้วแบบของทำในไทย มีขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าครับ ราคาอยู่ที่ราวๆใบละ 50 – 120 แต่ถ้าลองไปเดินซื้อที่ สวนจตุจักร จะถูกลงไปอีกพอสมควร ส่วนถ้าเป็นแก้วที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื้อแก้วเขาจะ บางเบากว่า แต่ราคาจะต่างกันถึง 5 – 10 เท่าเลยทีเดียวครับ..



อันนี้ของไทยๆครับ ใบละไม่เกิน 100

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

อุปกรณ์/วิธีในการผสม Cocktail

เท่าที่ได้ลองๆทำมา พอจะแบ่งวิธีการผสมได้ 4 วิธี ตามนี้ครับ
การริน
- วิธีนี้ใช้แค่แก้วอย่างเดียวเพราะจะรินส่วนผสมตามลงไปตามชั้นตอนครับ
การคน
- วิธีนี้จะเป็นการคนระหว่างส่วนผสม กันน้ำแข็ง แล้วเทเอาแต่ส่วนน้ำครับ ส่วนอุปกรณืที่ใช้นี่ก็จะเป็น แก้ว, ที่คน, ที่กรองน้ำแข็ง(ไม่จำเป็นครับ)
การเขย่า (Shake)
- ใช้ในกรณีที่บางส่วนผสมอาจจะเข้ากันยาก แค่การคนอาจทำได้ไม่ดีพอครับ (สำหรับสูตรที่ไม่ยุ่งยาก ถ้าไม่มี Shaker ก็สามารถผสมแบบคนได้ครับ)
การปั่น
- ทำเพื่อต้องการให้ส่วนผสมเย็นจัดโดนการใช้เครื่องปั่นไปพร้อมน้ำแข็ง และสามารถรวมส่วนผสมที่เข้ากันยากเช่นชิ้นผลไม้ให้เข้ากันได้ครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เทคนิดการเคลือบปากแก้วด้วยเกลือ

หลายคงอาจสงสัยว่าทำยังไงซึ่งที่จริงแล้วไม่ยากเลย
ของที่ใช้ก็จะมี แก้ว,จานรอง,มะนาว,เกลือ



มีขั้นตอนดังนี้ครับ


- เทเกลือลงในจานรอง แล้วเอามะนาวหั่น(ที่บีบน้ำแล้ว)มาถูให้รอบขอบแก้วให้รอบ



- เอาแก้วไปคว่ำลงในจานเกลือ กลิ้งๆ หมุนๆ ให้เกลือเกาะทั่วครับ



- เสร็จแล้วจ้า

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ถึงตอนนี้ก็พอรู้เรื่องเบื้องต้นเกี่ยวกับ Cocktail ไปแล้ว ต่อไปกะจะเป็นขั้นลงมือทำกันเสียที..



0 ความคิดเห็น

เที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง


น้ำตกโตนงาช้าง
 
เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงมาก แห่งหนึ่งของภาคใต้และของจังหวัดสงขลา น้ำตกโตนงาช้างมี 7 ชั้นชั้นที่มีชื่อเสียงมี่สุดคือโตนงาช้างซึ่งเป็นชั้นที่ 3 ของน้ำตกซึ่งสายน้ำตกแยกออกเป็นสองสายคล้ายงาช้างน้ำตกโตนงาช้างนี้อยู่ใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างมีการจัดสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ บริการนักท่องเที่ยวมีทางเดินศึกษาธรรมชาติและเที่ยวชมน้ำตกชั้นต่างๆหากจะ ชมน้ำตกให้ครบทุกชั้นต้องเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร


สำหรับน้ำตกทั้ง 7 ชั้น จะมีชื่อเรียกแตกต่างกัน ได้แก่

ชั้นที่ 1.โตนบ้า เมื่อเดินเท้าไปเพียงแค่เล็กน้อยจากจุดจอดรถ ก็จะพบกับสายน้ำและโขดหิน เล็กๆ สำหรับชั้นนี้ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นเพียงแค่สายน้ำไหล และไม่มีแอ่งน้ำ

ชั้นที่ 2.โตนปลิว ชั้นนี้เดินเท้าจากชั้นแรกประมาณ 200 เมตร ลักษณะของชั้นนี้เป็นแอ่งน้ำ เหมาะแก่การเล่นน้ำ ลักษณะโดยทั่วไป น้ำจะไหลจากหน้าผาสูงชันพอประมาณ สูงประมาณ 20 เมตร โดยที่น้ำจะไหลเป็น 2 สายมาบรรจบกันที่แอ่ง ผู้คนโดยส่วนใหญ่มักจะเล่นน้ำกันชั้นนี้ การเดินทางมาชั้นนี้ค่อนข้างสะดวก

ชั้นที่ 3.โตนงาช้าง หากเดินทางมาเที่ยวน้ำตกโตนงาช้างต้องไม่พลาดชั้นนี้ ซึ่งจะได้สัมผัส กับจุดที่เรียกว่า โตนงาช้าง ในชั้นนี้ใช้เวลาในการเดินทางจากชั้นที่ 2 ประมาณ 15 นาที เนื่องจาก ทางขึ้นค่อนข้างชัน

เมื่อถึงชั้นนี้จะพบน้ำไหลลาดชัน สูงประมาณ 20 เมตร โดยจะมีน้ำไหล 2 สายมาบรรจบกันที่แอ่ง เล็กๆ ซึ่งจะมีโขดหินขนาดใหญ่ขวางอยู่ และเมื่อนั่งบนโขดหินชั้นนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่าง เนื่องจากบนชั้นนี้จะมีความสูงใกล้กับเทือกเขา ในชั้นนี้จะมีแอ่งน้ำซึ่งสามารถที่จะเล่นน้ำได้

ชั้นที่ 4.โตนดำ อยู่ที่ระดับความสูง 700 เมตร

ชั้นที่ 5.โตนน้ำปล่อย อยู่ที่ระดับความสูง 1,050 เมตร

ชั้นที่ 6.โตนฤาษีคอยบ่อ อยู่ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร

ชั้นที่ 7.โตนเหม็ดชุน อยู่ที่ระดับความสูง 1,550 เมตร



ประวัติ
 
โตนงาช้างเป็นชื่อน้ำตกที่ ถูกจัดว่าสวยที่สุดของภาคใต้ อยู่ในท้องที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา คำว่าโตน เป็นภาษาท้องถิ่น มีความหมายว่า น้ำตก แต่ด้วยความผันผวนทางการเมืองในภาคใต้ ป่าโตนงาช้างถูกกำหนดเป็นพื้นที่สีแดงที่ถูกปิดเป็นเวลาประมาณ 15 ปี จนถึงปี พ.ศ. 2519 กรมป่าไม้โดยกองอนุรักษ์สัตว์ป่าได้ส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจ และพิจารณาเห็นว่าป่าโตนงาช้างเป็นป่าผืนใหญ่ผืนหนึ่งติดกับประเทศมาเลเซีย เป็นป่าที่สมบูรณ์มีสัตว์ป่าชุกชุมและคาดว่าอาจมีแรดอาศัยอยู่ในพื้นที่ด้วย เป็นป่าต้นน้ำลำธารที่มีลำธารหลายสายไหลลงสู่ที่ราบลุ่มทะเลสาบสงขลาหล่อ เลี้ยงพื้นที่กสิกรรมหลายแสนไร่ กองอนุรักษ์สัตว์ป่า(ในเวลานั้น) กรมป่าไม้ เล็งเห็นว่าควรจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อควบคุมและป้องกัน รักษาทรัพยากรธรรมชาติด้านสัตว์ป่าและป่าไม้ แหล่งน้ำ แหล่งอาหาร ตลอดจนสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีความสำคัญต่อสัตว์ป่าให้คงอยู่อย่างถาวร จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกาประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างเมื่อวัน ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 สำนักงานเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าโตนงาช้างตั้งอยู่ที่บริเวณน้ำตกโตนงาช้าง ท้องที่ ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ห่างจากอำเภอหาดใหญ่ 26 กิโลเมตร เริ่มจากหาดใหญ่ไปตามถนนเพชรเกษม หาดใหญ่ - รัตภูมิ ถึงกิโลเมตรที่ 13 บ้านหูแร่ มีเส้นทางเข้าน้ำตกโตนงาช้างเป็นระยะทางอีก 13 กิโลเมตร อาณาเขตของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างครอบคลุมท้องที่ตำบลทุ่งตำเสา ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ ตำบลท่าชะมวง ตำบลเขาพระ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลาและตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล มีพื้นที่ทั้งสิ้น 182 ตารางกิโลเมตร หรือ 113,721ไร่
0 ความคิดเห็น

การทอดกฐิน วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ นายเลข สุวรรณมณี พร้อมด้วย ครอบครัวร่วมกับ ประชาชนชาวบ้าน ตำบลโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ถวายผ้ากฐิน
วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา  ประจำปี 2555 


 Clip วีดีโอ การทอดกฐิน วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ปี 2555







 การทอดกฐิน วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา  ประจำปี 2555

เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕



การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของชาวพุทธ

ประวัติการรับผ้ากฐิน และอานิงสงส์กฐิน

     การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ด ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง

        การทอดกฐินเป็นประเพณีอันดีงาม ของชาวพุทธที่ศาสนิกชนปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 2,500 ปี กำเนิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐออกเดินทางไกล เพื่อไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน พระภิกษุเหล่านั้นมีจีวรที่เปรอะเปื้อนเปียกชุ่ม และเปื่อยขาดด้วยความเก่า พระบรมศาสดาจึงทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษารับผ้ากฐินได้หลังออก พรรษา เพื่อนำมาผลัดเปลี่ยนผ้าเก่า ประเพณีทอดกฐินได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้นและสืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน


การทอดกฐินเป็นบุญที่มีอานิสงส์มหาศาล


        บุญจากการทอดกฐินเป็นบุญพิเศษ ที่ทำได้ยากกว่าบุญอื่น ด้วยสาเหตุหลายประการ ดังนี้ คือ



การทำบุญทอดกฐิน เป็นบุญที่ถูกจำกัดด้วยไทยธรรม กล่าวคือ ของที่ถวาย

ต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในจำนวนไตรจีวรเท่านั้น


1.) จำกัดด้วยเวลา คือต้องถวายภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันออกพรรษา
2.)จำกัดชนิดทาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอื่นไม่ได้
3.)จำกัดคราว คือ แต่ละวัดรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
4.)จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุรับกฐินได้จะต้องจำพรรษาที่วัดนั้นครบไตรมาส (3 เดือน) และจะต้องมีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป
5.)จำกัดงาน คือ เมื่อพระภิกษุรับผ้ากฐินแล้ว จะต้องกรานกฐินให้เสร็จภายในวันนั้น

6.)จำกัดของถวาย คือ ไทยธรรมที่ถวายต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวรเท่านั้น โดยทั่วไปนิยมใช้สังฆาฏิ ไทยธรรมอื่นจัดเป็นบริวารกฐิน เกิดจากพุทธประสงค์ พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับผ้ากฐินเพื่อพลัด เปลี่ยนไตรจีวรเก่า แต่ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้อนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาต ถวายผ้าอาบน้ำฝน




ผ้ากฐิน โดยความหมายก็คือผ้าสำเร็จรูปโดยอาศัยไม้สะดึง นิยมเรียกกันจนปัจจุบันนี้

การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำ 5 รูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น

เขตกำหนดทอดกฐิน
การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ไม่จัดเป็นการทอดกฐิน

แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น เช่น จะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้วพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับไว้ก่อนได้

        นอกจากนี้การทอดกฐินยังเป็นทานที่พิเศษ คือ ทั้งพระภิกษุและญาติโยมผู้ทอดกฐินได้อานิสงส์ด้วยกัน การทอดกฐินจึงเป็นบุญใหญ่ ที่ผู้ให้ (คฤหัสถ์) และผู้รับ (พระภิกษุสงฆ์) ต่างก็ได้บุญ
ทั้ง 2 ฝ่าย

อานิสงส์กฐิน - ความหมายของคำว่า ทอดกฐิน

อานิสงส์กฐิน - ความหมายของคำว่า ทอดกฐิน
 

    กฐินทาน คือ การถวายผ้าให้แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ได้ดำรงตนอยู่ในกรอบแห่งศีล สมาธิ(Meditation) และปัญญา ผ่านการอยู่จำพรรษาตลอดฤดูฝน ณ อารามใดอารามหนึ่ง นับว่าเป็นกาลทานอันยิ่งใหญ่ ย่อมก่อให้เกิดอานิสงส์มากมายแก่ผู้ทอดถวาย


     คำว่า กฐิน แปลว่า สะดึง หมายถึง ไม้ที่ใช้สำหรับขึงผ้าให้ตึง มีทั้งรูปสี่เหลี่ยม และรูปวงกลม เมื่อขึงผ้าด้วยสะดึงแล้วจะทำให้เย็บผ้าได้ง่ายขึ้น แต่ในอีกความหมายหนึ่งนั้น หมายเอาผ้าจีวรที่ถวายแด่พระสงฆ์ที่อยู่ประจำอารามจนครบพรรษา คำว่า ทอดกฐิน จึงหมายถึง การน้อมนำผ้าจีวรมาวางทอดลง เพื่อถวายแด่ภิกษุสงฆ์ มิได้เจาะจงแก่ภิกษุรูปใด เทศกาลทอดกฐินจะเรียกอีกแบบ คือ ฤดูกาลเปลี่ยนผ้าใหม่ของพระภิกษุ โดยในอดีตกาล ยุคต้นที่พระพุทธศาสนาเริ่ม บังเกิดขึ้น ผ้าที่ภิกษุได้มานั้นเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหรือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพในป่าช้า หรือผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามกองหยากเยื่อ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะผ้าในยุคนั้นเป็นของมีค่าหาได้ยาก การที่ภิกษุแสวงหาผ้าที่ไม่มีผู้หวงแหน นำมาใช้นุ่งห่ม จึงแสดงถึงความสันโดษมักน้อยของนักบวชผู้มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้น

     อีกประการหนึ่ง จะได้ไม่เป็นที่หมายปองของพวกโจร จะได้ไม่ถูกขโมยหรือถูกโจรปล้นชิงไป เพราะผู้คนในสมัยนั้น รังเกียจผ้าผุปะหรือผ้าเก่าๆ ถือว่าเป็นผ้าเสนียด จึงไม่มีใครอยากได้ แต่มาภายหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับผ้าที่คหบดีนำมา ถวายได้ เนื่องจากหมอชีวกได้กราบทูลเพื่อที่จะถวายผ้าแด่พระภิกษุ เพราะเห็นว่าพระภิกษุทั้งหลายมีความลำบากในการแสวงหาผ้าเป็นอย่างยิ่ง

รูปแบบของจีวร

     รูปแบบของจีวรนั้น เกิดขึ้นจากพระดำริของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวคือ ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงชี้ให้พระอานนท์แลดูคันนาของชาวมคธ และให้ออกแบบตัดเย็บโดยใช้แผ่นผ้าหลายชิ้นนำมาเย็บต่อๆ กันเป็นขันธ์ คล้ายคันนา เพื่อให้เป็นผ้ามีตำหนิไม่มีใครอยากได้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้จีวรมีห้าขันธ์ขึ้นไป สำหรับจีวรในปัจจุบันมี 5 ขันธ์นับเฉพาะแนวตั้ง เรียกว่า มณฑล ส่วนขันธ์ย่อยเรียกว่า อัฑฒมณฑล


      จีวรที่พระภิกษุใช้สอยกันในสมัยก่อนนั้น จะต้องวัดแต่ละชิ้นให้ได้สัดส่วน แล้วทำการตัดเย็บและย้อมเองซึ่งเป็นเรื่องยากและลำบากอย่างยิ่งสำหรับพระ ภิกษุ โดยวัสดุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้นำมาย้อมผ้าจีวรได้ คือ

1.รากไม้
2.ต้นไม้
3.ใบไม้
4.ดอกไม้
5.เปลือกไม้
6.ผลไม้

สีของจีวรที่นิยมนำมาทำเป็นผ้ากฐิน

     สีที่นิยมใช้ คือ สีเหลืองเจือแดง สีเหลืองหม่น หรือสีกรัก
     ส่วนสีที่ห้ามใช้ได้แก่ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด สีชมพู และสีดำ



     เมื่อเย็บและย้อมเสร็จแล้วก็ต้องอธิษฐานให้เป็นผ้าครองต่อไป แต่ก่อนจะนำมานุ่งห่มก็จะต้องพิจารณาผ้าเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ได้ โดยเมื่อสำเร็จเป็นจีวรแล้ว พระภิกษุจะใช้สอยและเก็บรักษาเป็นอย่างดี เพราะถือว่าผ้าจีวรนั้นเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เมื่อพระภิกษุได้ผ้าจีวรผืนใหม่แล้ว ผ้าผืนเก่าก็จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น นำมาทำเป็นผ้าดาดเพดาน เมื่อผ้าดาดเพดานเก่าก็จะนำมาทำเป็นผ้าปูที่นอนหรือผ้าปูฟูก ผ้าปูที่นอนผืนนั้นเมื่อเก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าปูพื้น ผ้าปูพื้นที่เก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าเช็ดเท้า ผ้าเช็ดเท้าที่เก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าเช็ดธุลี ผ้าเช็ดธุลีที่เก่าแล้วก็จะนำมาโขลกให้แหลกแล้วขยำกับโคลน เพื่อฉาบทาฝากุฏิ
     ดังนั้น ผ้ากฐินที่ได้ถวายพระภิกษุสงฆ์ไปแล้ว ย่อมเกิดประโยชน์สูงสุด จึงก่อให้เกิดอานิสงส์แก่ผู้ทอดถวายมากมาย

ประวัติการรับผ้ากฐิน และอานิสงส์กฐิน (โดยย่อ)

        สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ จำนวน 30 รูป เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน แต่เมื่อถึงเมืองสาเกตุยังไม่ทันถึงกรุงสาวัตถีก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน จึงต้องเข้าจำพรรษาในระหว่างทาง ในระหว่างนั้น ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐมีใจระลึกถึงพระพุทธองค์ว่า “เราแม้อยู่ห่างจากสาวัตถีเพียงหกโยชน์ แต่พวกเรากลับไม่ได้เข้าเฝ้าพระองค์”

        ครั้นล่วงสามเดือนแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้ทำการปวารณาซึ่งกันและกันในวันมหาปวารณา ในตอนนั้นแม้ออกพรรษาแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่ พื้นดินชุ่มไปด้วยน้ำและโคลน ภิกษุเหล่านั้นรีบเร่งเดินทางเพื่อไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้สบงจีวรที่ท่านนุ่งห่มเปียกปอนเปรอะเปื้อนและเปื่อยขาด กว่าจะเดินทางมาถึงวัดพระเชตวันก็ได้รับความลำบากเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวัดพระเชตวันแล้ว ยังมิทันได้พักเลย ภิกษุเหล่านั้นก็รีบเข้าไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งจีวรที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน


การทำบุญทอดกฐินและการถวายผ้ากฐิน สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริขึ้นด้วยพระองค์เอง
        พระพุทธองค์ทรงตรัสถามภิกษุเหล่านั้นในเรื่องความเป็นอยู่และสุขภาพร่างกาย ว่า “จำพรรษากันผาสุกดีอยู่หรือ ทะเลาะวิวาทกันบ้างหรือไม่ อาหารบิณฑบาตพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ”

        ภิกษุทั้งหลายได้ทูลตอบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “จำพรรษาด้วยความผาสุก พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ยังมีความพร้อมเพรียงกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกันและไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต”

        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นจีวรของภิกษุทั้งหลายเก่าและขาด จึงทรงมีพุทธานุญาตให้รับผ้ากฐินได้ แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว โดยให้ภิกษุที่ได้รับผ้ากฐินแล้วได้อานิสงส์ 5 ประการ คือ


อานิสงส์กฐินสำหรับพระ

1.เที่ยวไปสู่ที่สงัด เพื่อแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมได้ตามสะดวก โดยไม่ต้องบอกลา
2.เที่ยวไปได้ โดยไม่ต้องนำผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ
3.ฉันคณะโภชนะได้ คือ ฉันภัตตาหารร่วมโต๊ะหรือร่วมวงฉันด้วยกันได้
4.ทรงอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา คือ รับผ้าจีวรได้มากผืน
5.จีวรที่เกิดขึ้น ณ ที่นั้นจักได้แก่พวกเธอ คือ หากได้ผ้าจีวรมาเพิ่มอีก ก็สามารถเก็บไว้ใช้ได้ไม่ต้องเข้าส่วนกลาง  

ตำบลโรง


อ,กระแสสินธุ์

เกาะใหญ่
โรง
เชิงแส
กระแสสินธุ์
แบ่งเขตการปกครอง เป็น 5 หมู่บ้าน
ประกอบด้วยหมู่บ้าน หมู่1 บ้านโคกพระ , หมู่2 บ้านกาหรำ , หมู่3 บ้านโคกแห้ว , หมู่4 บ้านโรง , หมู่5 บ้านโรง

จำนวนประชากรใน ตำบลโรง

จำนวนหลังคาเรือน : 716 หลังคาเรือน


จำนวนประชากร : 2,979 คน
จำนวนผู้สูงอายุ : 663 คน

จำนวนเด็กแรกเกิด ถึง 6 ปี : 123 คน
จำนวนผู้สูงอายุ ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง : 42 คน

จำนวนสตรีตั้งครรภ์ : 28 คน
จำนวนผู้สูงอายุ ที่ช่วยตนเองไม่ได้ : 5 คน

จำนวนสตรีอายุ 35 ปี ขึ้นไป : 873 คน
จำนวนผู้พิการ : 125 คน

0 ความคิดเห็น

นายเลข สุวรรณมณี บริจาคเงินเข้ามูลนิธิพลเอกเปรมติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธ์ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

           เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕  นายเลข สุวรรณมณี  กรรมการ มูลนิธิพลเอกเปรมติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธ์  พร้อมครอบครัว ร่วมกับ แม่ชี ประจำวัดโรง  ได้มอบเงินบริจาค จำนวน 15,000 บาท ให้ กับมูลนิธิพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธุ์ โดยมี นายเปรม ทองเนื้อแข็ง สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา(สอบจ.) อำเภอกระแสสินธุ์ เขต 1 เป็นผู้รับมอบ
มูลนิธิพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธ์  จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียน ในเขต อำเภอกระแสสินธ์





0 ความคิดเห็น

วันหยุดพักผ่อนอยู่ห้อง




vacation
    คุณคงเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี เมื่อกลับจากวันหยุดพักผ่อนและทริปสนุกสนานมีความสุข ทำให้คุณรู้สึกราวกับว่าความสุขนี้คงตราตรึงอยู่กับคุณเป็นเวลาหลายวัน หรือแม้แต่หลายสัปดาห์ จากนั้น เมื่อคุณกลับถึงบ้านและกลับไปทำงาน คุณกลับรู้สึกเครียดและถูกบีบคั้นด้วยเวลาตั้งแต่วันแรกที่คุณกลับไป และรู้สึกราวกับว่าวันหยุดสุดแสนมหัศจรรย์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น!  ดังนั้นคำถามคือ ควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ความรู้สึกดีๆ จากช่วงเวลาวันหยุดยังคงอยู่เป็นเวลานาน แน่นอนว่าต้องมีหนทางแน่ๆ ลองมาดูผลการวิจัยและศึกษาจากประเทศเนเธอร์แลนด์กัน


    จากการศึกษาในวารสาร Applied Research in Quality of Life ซึ่งได้ทำการติดตามระดับความสุขของคนที่ไปเที่ยววันหยุดทั้งหมด 974 คน และอีก 556 คนที่ไม่ได้ไปเที่ยว ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ ผู้ที่มีวันหยุดพักผ่อนได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับของความสุขของพวกเขา ทั้ง ก่อน, ระหว่าง และ หลังกลับจากท่องเที่ยว
    vacation
    เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ไปเที่ยววันหยุด ระดับความสุขของผู้ที่ไปเที่ยวสูงกว่ามากในช่วงเวลาก่อนไปเที่ยว (แสดงให้เห็นว่าพวกเขาตั้งตาคอยและคาดหวังทริปในวันหยุดแสนวิเศษ) และยังคงมีความสุขมากในระหว่างการเที่ยวพักผ่อน แต่หลังกลับจากไปเที่ยวระดับความสุขกลับลดลงจนเท่ากับผู้ที่ไม่ได้ไปเที่ยว อย่างน่าใจหาย ด้วยข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ให้ข้อมูลว่าพวกเขามีวันหยุดที่ "ผ่อนคลายมากๆ" ยังคงมีความสุขมากๆ หลังกลับจากไปเที่ยวเป็นเวลาสองสัปดาห์โดยเฉลี่ย ยิ่งไปกว่านั้นระดับความสุขของพวกเขายังคงดีอยู่เป็นระยะเวลาถึง 8 สัปดาห์เต็ม
    vacation
    การค้นพบที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของวันหยุดไม่มีผลต่อระดับความสุข ซึ่งการศึกษาพบว่า "ตราบใดที่ทริปนั้นทำให้คุณมีโอกาสในการผ่อนคลายความเครียดและพักผ่อนมากพอ ก็จะไม่มีความแตกต่างของระดับความสุขระหว่างคนที่ไปเที่ยวหลายวัน กับคนที่ไปเที่ยวเพียงไม่กี่วัน"

    การศึกษาชี้ให้เห็นกลยุทธ์ที่ดีในการวางแผนวันหยุดของคุณ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณมีความสุขอยู่ได้เป็นระยะเวลายาวนานแม้กลับจากไปเที่ยว แล้ว อย่างแรก คุณควรวางแผนวันหยุดที่ผ่อนคลายมากๆ อย่างที่สองคือ คุณควรวางแผนสำหรับทริปสั้นๆ หลายๆ ครั้งในแต่ละปี ดีกว่าวางแผนสำหรับทริปที่ยาวหลายวันเพียงครั้งเดียว หากทำเช่นนี้แล้ว จะช่วยให้คุณมีความสุขได้มากกว่า
    vacation
    สำหรับประเด็นสำคัญที่ว่า อะไรคือวันหยุดที่ "ผ่อนคลายมากๆ" จิตแพทย์ Jeffrey Rossman บอกไว้ว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แตกต่างกันไป คนๆ หนึ่งอาจคิดว่าการได้นอนเอนกายบนชายหาดหลายๆ วันเป็นสิ่งที่ผ่อนคลายที่สุด ในขณะเดียวกัน อีกคนหนึ่งอาจรู้สึกว่านั่นทำให้เขาทรมานมากกว่า ระดับความผ่อนคลายเป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะรู้สึกอย่างไรต่อประสบการณ์ นั้นๆ

    จิตแพทย์ Rossman ยังคงแนะนำต่อไปว่า กลยุทธ์ต่อไปนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกมีความสุขได้ยาวนานขึ้นหลังกลับจากไปเที่ยว
    vacation
    1. พูดคุยเกี่ยวกับวันหยุดของคุณ เก็บรักษาช่วงเวลาดีๆ ที่ทำให้คุณมีความสุข ถ่ายรูประหว่างไปเที่ยว จากนั้นแชร์รูปถ่ายเหล่านั้นกับผู้อื่นและบอกเล่าถึงประสบการณ์ดีๆ ที่คุณได้รับจากการไปเที่ยวครั้งนั้น ถ้าเป็นไปได้ ให้พูดคุยถึงเรื่องทริปเหล่านั้นกับคนที่คุณไปเที่ยวด้วย
    vacation
    2. ขอบคุณคนที่ช่วยให้เวลาเหล่านั้นเป็นเวลาพิเศษ ถ้าใครที่โรงแรมหรือสถานที่ที่คุณไปเที่ยว ให้ความช่วยเหลือและเป็นมิตรกับคุณ คุณอาจส่งโน้ตเล็กๆ เพื่อขอบคุณเขา ถ้าคุณมีเพื่อนใหม่และสัญญากับพวกเขาว่าจะติดต่อ ก็ให้โทรหาหรืออีเมล์ (ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้คุณระลึกถึงช่วงเวลาอันมีความสุขได้อีก)
    vacation
    3. เก็บรักษาสิ่งดีๆ ไว้ ถ้าคุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ระหว่างช่วงวันหยุด ให้นำมาใช้ในชีวิตของคุณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าคุณไปเรียนเทนนิสมา เมื่อกลับถึงบ้านแล้วให้ใช้ทักษะที่คุณเรียนมาในคอร์ทเทนนิสใกล้บ้านให้เร็ว ที่สุด ให้ทำในลักษณะเดียวกัน ถ้าคุณไปเรียนศิลปะ,โยคะ หรือไปดูนก วันหยุดพักผ่อนที่คุณได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือสิ่งใหม่ๆ จะสร้างความสุขระยะยาวได้มากกว่า ตราบใดที่คุณพยายามนำมันมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย


“เคล็ดลับเลือกกางเกงใส่อยู่บ้าน” (Woman's Story)

          วัน หยุดพักผ่อน มีเวลาได้อยู่บ้านทั้งที แบบนี้ก็ต้องมาเลือกกางเกงสำหรับใส่อยู่บ้านกันหน่อยแล้วล่ะคะ แต่จะเลือกกางเกงแบบไหนให้ใส่สบาย ๆ ไปกับวันสบาย ๆ ไปติดตามกันค่ะ...

           กางเกงอยู่บ้านที่มีขอบยางยืด มีข้อดีคือ สะดวก จะใส่จะถอดง่าย ไม่ต้องมานั่งกลัดกระดุม ปิดกระดุม หรือผูกเชือก แต่ควรเลือกที่ขอบยางไม่รัดแน่นจนเกินไป เพราะจะอึดอัดไม่สบายตัวเวลาใส่

           กางเกงอยู่บ้านแบบผูกเชือกคือ สามารถปรับให้แน่นหรือหลวมได้ตามต้องการ และนอกจากจะปรับระดับความแน่นหรือหลวมได้แล้ว ยังสามารถปรับความสั้นยาวได้อีกด้วย นับว่าสะดวก สบายมากทีเดียว

ทีนี้ก็มาเลือกที่เนื้อผ้ากันบ้างว่าแบบไหนที่ใส่สบายและเหมาะสม...

         ผ้าฝ้าย เนื้อผ้ามีความนุ่ม ใส่แล้วไม่ร้อน ไม่อับ รับรองว่านุ่มสบายตลอดทั้งวัน

         ผ้าร่ม ข้อดีของผ้าร่ม คือสวย พลิ้ว แต่ระบายอากาศได้ไม่ดี ฉะนั้นคนชอบผ้าร่มต้องระวังเรื่องความอับชื้นและผดผื่นเป็นพิเศษ

         ผ้าแพร จะทำให้รู้สึกลื่นผิวเหมือนไม่ได้ใส่อะไร เหมาะกับใส่นอนกลางวันอย่างยิ่ง ทั้งสวย ทั้งใส่สบาย แถมใส่แล้วเย็นอีกต่างหาก

          ทั้งนี้หากกางเกงอยู่บ้านจะมีกระเป๋าข้างหรือกระเป๋าหลังสักอันก็ดี ไม่น้อย เอาไว้ใส่ของเวลาต้องการใช้ อีกทั้งเมื่อซื้อกางเกงสำหรับใส่อยู่บ้านมาแล้ว ควรซักให้นิ่มก่อนใส่ จะได้ไม่ระคายเคืองผิว ที่สำคัญคือกางเกงใส่อยู่บ้าน ก็ต้องใส่อยู่บ้าน อย่าใส่ออกนอกบ้านเป็นอันขาด เพราะดูไม่เรียบร้อย และไม่ส่งเสริมบุคลิกที่ดีซักเท่าไหร่...

          แฮ่ ม...ขึ้นชื่อว่ากางเกงใส่อยู่บ้านก็ต้องใส่เฉพาะอยู่ในบ้านเท่านั้นนะคะ ถ้าจะออกไปข้างนอกก็ควรเปลี่ยนกางเกงให้ดูเรียบร้อยและเหมาะสมจะดีกว่าค่ะ..


0 ความคิดเห็น
 
Support : Creating Website Nakon
Copyright © 2013. คนบ้านเราเพ. - All Rights Reserved
Created by Suwachai